วันอังคารที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เลขตัวสุดท้าย ในบัตรประจำตัวประชาชนของทุกคน


เลขตัวสุดท้ายในบัตรประจำตัวประชาชนของทุกคน
สามารถบอกได้ว่าชีวิตของเราจะเป็นอย่างไรบ้าง? แม่นขนาดไหน
ต้องพิสูจน์กัน
ตัวอย่าง : เลขในบัตรประจำตัวประชาชนคือ 5 6485 54823 48 6
เลขตัวสุดท้ายคือเลข 6

เลข 1
แสดงถึงความเด็ดเดี่ยว กล้าทำ กล้าแสดงออก เป็นผู้นำใน
หน้าที่การงานอยู่ในจำพวกแนวหน้า
และบางครั้งถูกคนอื่นมาขอความช่วยเหลือทั้งทรัพย์สินเงินทอง
และคำปรึกษาอยู่ตลอดเวลา
จนทำให้ไม่เป็นตัวของตัวเองเท่าที่ควรแต่หากไม่พอใจใครแล้ว
เขาจะไม่สนใจเลยเด็ดขาด เป็นจำพวกหยิ่งในศักดิ์ศรี ฆ่าได้ หยามไม่ได้
ไม่ยอมก้มหัวเพื่อลดศักดิ์ศรีให้ใคร หากจำเป็นจริง ๆ
ยอมให้ได้เพียงกายเท่านั้น จะมีนิสัยละเอียดอ่อนในเรื่องความรัก
หมดเปลืองเท่าไหร่ก็ยอมเพื่อความรัก
ในอนาคตหากเป็นนักธุรกิจจะประสบความสำเร็จและสามารถทำงานได้ดีทุกแขนง

เลข 2
แสดงถึงความสำเร็จ
ความอบอุ่นจากมิตร-บริวาร
แต่บางครั้งไม่ค่อยมีความเด็ดขาดไปบ้าง เป็นคนที่ไม่ชอบอยู่คนเดียว
หากจะลงทุนทำธุรกิจถ้าได้ร่วมทำกับคนอื่นจะดีกว่าทำคนเดียวจะมีเสน่ห์กับเพศตรงข้าม
เป็นที่รักใคร่ของเหล่าเพื่อนฝูง
แต่บางครั้งจะโดนอิจฉาอยู่บ่อย ๆ เพราะเสน่ห์ดีเกินไป
ตามเลขศาสตร์บ่งบอกว่า หากจะให้ทำงานสำเร็จโด่งดังมีชื่อเสียง
จะต้องทำงานร่วมกับคู่ครองตนเอง วัยกลางคนจะได้มีความสุขกับครอบครัว
ฐานะดีมีความสบายตามลำดับ

เลข 3
แสดงถึงความทุกข์ใจ จะมีปัญหาเรื่องต่าง ๆ ผ่านเข้ามาในชีวิตอยู่เรื่อยๆ
หากจิตใจไม่เข้มแข็งจะทำให้ทุกข์ใจไม่สบายกายอยู่เรื่อยไป
และจะต้องเพิ่มการเอาใจใส่คู่ครองและครอบครัวให้มากกว่าเดิม
ระวังจะมีปัญหากับบุคคลที่ 3 เข้ามาสร้างความแตกแยกในครอบครัว หมายเลข 3 นี้
เป็นเลขแห่งเงารัก เงาร้าง
ถ้าจะลงทุนทำธุรกิจไม่ควรที่จะร่วมหุ้นหรือไว้ใจบริวารให้มากนัก
อย่าเป็นนักบุญให้ผู้อื่นจนเกิดเป็นความทุกข์ให้กับตนเอง
และหากช่วยเหลือใครแล้วจะหวังผลคืนได้ยาก
เพราะหมายเลข 3
เป็นเลขของผู้ให้ๆอย่างเดียว แต่เมื่อผ่านปัญหาทั้งปวงไปแล้วอีกไม่นาน
จะมีความสุขความสบายกับครอบครัว

เลข 4
แสดงถึงเลขแห่งจักรพรรดิ์ จะมีคนคอยเป็นห่วง
จะเป็นที่รักใคร่ของผู้สูงอายุแต่จะมีความเหน็ดเหนื่อยมากอยู่เหมือนกัน เพราะ
คำว่า 'แม่ทัพ' ก็รู้ความหมายอยู่แล้ว
ไม่มีแม่ทัพคนใดไม่มีผลงานแล้วจะได้เป็นแม่ทัพหรอกน่ะ แต่หมายเลข 4
เป็นเลขแห่งความสำเร็จ ความยิ่งใหญ่ ความก้าวหน้า ความท้าทาย
หากจะให้มีความเจริญก้าวหน้าเร็วๆ ก็ต้องกล้าทำกล้าแสดงออก กล้าตัดสินใจ
แต่ระวังจะมีเพศตรงข้ามหลงรัก
และเข้ามาขอสวามิภักดิ์ด้วยและไม่ต้องเป็นห่วงจะทำอะไรก็จะมีคนคอยสรรเสริญเยินยอ
แต่ก่อนที่จะมีการเยินยอก็จะมีการติฉินนินทาก่อน
หากอดทนไม่สนใจไม่แคร์ความรู้สึกของคนอื่นได้ละก็
ชีวิตนี้รวยใจสบายกายอย่างแน่นอน

เลข 5
แสดงถึงเลขแห่งเวทมนต์และเสน่ห์หากับเพศทั่วไป มีความหยิ่งทะนงในตัวเอง

ยอมก้มหัวให้ผู้อื่นได้แค่กายแต่ใจนั้น
ไม่ยอมใคร
เป็นที่ปรึกษาผู้อื่นได้ดีแต่ตนเองยามเดือดร้อน
หาใครช่วยปรึกษาด้วยนั้นช่างยากมาก เพราะหมายเลข 5 จะมีความสบายกาย
แต่ทุกข์ใจอยู่เรื่อยเพราะคิดมากจนเกินเหตุ
และจะเป็นที่รักใคร่ของญาติมิตรหากดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับเอกสารจะประสบความสำเร็จดีมีชื่อเสียง
แต่ไม่ว่างานด้านไหนๆ หมายเลข 5 ทำได้หมด
แต่จะต้องมีเวลาให้กับเรื่องส่วนตัวบ้าง เช่น เรื่องความรัก
อย่าปล่อยให้นานเกินไป
จะได้พึ่งพาอาศัยบุตร-บริวารในภายภาคหน้าจะมีความพอดีกับชีวิต
เกิดความสุขตลอดกาล

เลข 6
แสดงถึงคนที่มีดีอยู่ในตัวแต่ไม่ค่อยยอมนำออกมาใช้ให้เป็นประโยชน์
อย่าปล่อยเวลากับความคิดให้มากนัก หมายเลข 6 เสน่ห์อยู่ที่ 'เงา'
ของตนเอง จะมีคนรักใคร่เอ็นดูทั้งเด็กและผู้ใหญ่
แต่ต้องแต่งตัวให้เกิดจุดเด่นแก่ตนเอง และมีจิตสัมผัสเหนือธรรมชาติ
หากได้นั่งสมาธิบำเพ็ญศีลจะมีบารมีสูง ผู้คนจะรักใคร่เอ็นดู
จะทำอะไรก็ล้วนแต่ประสบความสำเร็จดีทั้งสิ้น หมายเลข 6
ต้องลดโทนเสียงลงอีกเพราะโทนเสียงนั้นบ่งบอกถึงอำนาจ
ความยิ่งใหญ่เกินตัว
ไม่เพราะแก่ผู้ได้ยิน ผู้ใหญ่รักใคร่เอ็นดู สนับสนุนในด้านการงาน
เมื่อเกิดปัญหาใดๆ ตนเองมักจะเอาตัวรอดได้เสมอ จะมี ความสุขในบั้นปลาย

เลข 7
อย่าปล่อยเวลาให้เสียไปกับคนอื่นให้มากนักและอย่ายึดติดอยู่กับที่
เพราะหมายเลข 7 เป็นหมายเลขที่ต้องเดินทางเพื่อทำการค้า เป็นไกด์
หรือทำงานที่ต้องมีการเจรจาอยู่ตลอดเวลาจะทำให้ประสบความสำเร็จ
ระวังจะมีปัญหาเรื่องรักๆ ใคร่ๆ เกิดขึ้นในครอบครัว หรือเรื่องรัก 3
เส้าเกิดขึ้นในชีวิตคู่ ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตคุณ
ก็ไม่ต้องวิตกให้มากนัก เพราะทุกอย่างจะคลี่คลายไปได้ด้วยดี
การเงินถึงจะไม่คล่องบ้างบางครั้ง แต่ก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะหมายเลข 7
เป็นเลขที่ส่งลาภผลอยู่เนืองๆ หากผู้ใดที่ได้หมายเลข 7
และก็ยอมเหนื่อยหน่อยในระยะเริ่มต้น และอีกไม่นานจะมีความสุข
โชคลาภเพิ่มพูน และจะได้รับความสุขกับ มิตร-บริวาร

เลข 8
แสดงถึงคนมีบุญบารมี และวาสนาดี
มีชื่อเสียงให้คนทั้งหลายได้ประจักษ์
แต่ต้องหมั่นเรียนรู้เร่งศึกษาอย่าอยู่นิ่ง กล้าเปิดเผย กล้าทำ
กล้าแสดงออก กล้าตัดสินใจ รีบไขว่คว้าแล้ว
หน้าที่การงานที่ทำจะได้ผลดีเป็นที่พอใจ และผู้ใหญ่จะให้ ความช่วยเหลือ
อย่าหลงใหลมัวเมาในกิเลสตัณหาให้มากนักอ ย่าสนุกจนลืมครอบครัว
แล้วบั้นปลายชีวิตจะมีฐานะดีเป็นที่พอใจของวงศ์ตระกูลมีชื่อเสียงเป็นที่นับถือของคนทั่วไป

เลข 9
แสดงถึงอำนาจ ความยิ่งใหญ่ หากเป็นผู้นำจะเจริญก้าวหน้า
ทำงานด้วยสมองเป็นนักพูด หรือนักบรรยายจะมีชื่อเสียงโด่งดัง
แต่หน้าที่ที่เหมาะคือผู้เผยแพร่ศาสนา
จะมีผู้คนยกย่องสรรเสริญแ ละยังมีจิตสัมผัสเหนือคนทั่วไป
บางครั้งสามารถรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า ใครได้หมายเลข 9
จะเป็นผู้อยู่เหนือลิขิตสวรรค์จะทำอะไรก็สามารถประสบความสำเร็จได้ด้วยตนเอง

เลขบัตรประจำตัวประชาชนทำนายชีวิต



เลขบัตรประจำตัวประชาชนทำนายชีวิต
เลขรหัส บัตรประจำตัวประชาชน นั้นมีทั้งหมด 13 ตัว แต่เราจะเอาเลข 3 ตัวสุดท้ายมารวมกัน คือ การดูเลขคู่ชีวิตท่านว่าเป็นอย่างไรบ้าง?
ตัวอย่าง : เลขในบัตรประจำตัวประชาชน คือ 5 6485 54823 48 6
เลข 3 ตัวสุดท้าย คือ 4+8+6 = 18 แล้วนำ 1+8 = 9
เราจะต้องทำให้เป็นเลขตัวเดียวก่อนทุกครั้ง ถึงจะอ่านคำพยากรณ์ ความหมายของเลขศาสตร์ ตามบัตร ประจำตัวประชาชน มีดังนี้ :-
หมายเลข 1
แสดงถึง ความเด็ดเดี่ยว กล้าทำ กล้าแสดงออก เป็นผู้นำ ในหน้าที่การงานอยู่ในจำพวกแนวหน้า และบางครั้งถูกคนอื่นมาขอความช่วยเหลือ ทั้งทรัพย์สินเงินทองและคำปรึกษาอยู่ตลอดเวลา จนทำให้ไม่เป็นตัวของตัวเองเท่าที่ควร แต่หากไม่พอใจใครแล้ว เขาจะไม่สนใจเลยเด็ดขาด เป็นจำพวกหยิ่งในศักดิ์ศรี ฆ่าได้หยามไม่ได้ ไม่ยอมก้มหัวให้ใครเพื่อลดศักดิ์ศรี หากจำเป็นจริงๆ ยอมให้ได้เพียงกายเท่านั้น จะมีนิสัยละเอียดอ่อนในเรื่องความรัก ยอมหมดเปลืองเท่าไหร่ก็ยอมเพื่อความรัก ในอนาคต หากเป็นนักธุรกิจจะประสบความสำเร็จ และสามารถทำงานได้ดีทุกแขนง

หมายเลข 2
แสดงถึง ความสำเร็จ ความอบอุ่น จากมิตร-บริวาร แต่บางครั้งไม่ค่อยมีความเด็ดขาดไปบ้าง เป็นคนที่ไม่ชอบอยู่คนเดียว หากจะลงทุนทำธุรกิจ ถ้าได้ร่วมทำกับคนอื่น จะดีกว่าทำคนเดียว จะมีเสน่ห์กับเพศตรงข้าม เป็นที่รักใคร่ของเหล่าเพื่อนฝูง แต่บางครั้งจะโดนอิจฉาอยู่บ่อยๆ เพราะเสน่ห์ดีเกินไป ตามเลขศาสตร์บ่งบอกว่า หากจะให้ทำงานสำเร็จ โด่งดังมีชื่อเสียง จะต้องทำงานร่วมกับคู่ครองตนเอง วัยกลางคนจะได้ดี มีความสุขกับครอบครัวตามสภาพ

หมายเลข 3
แสดงถึง ความทุกข์ใจ จะมีปัญหาเรื่องต่างๆผ่านเข้ามา ในชีวิตอยู่เรื่อยๆ หากจิตใจไม่เข้มแข็ง จะทำให้ทุกข์ใจ ไม่สบายกายอยู่เรื่อยไป และจะต้องเพิ่มการเอาใจใส่คู่ครอง และครอบครัวให้มากกว่าเดิม ระวังจะมีปัญหากับบุคคลที่ 3 เข้ามาสร้างความแตกแยกในครอบครัว
(หมายเลข 3 นี้เป็นเลขแห่งเงารัก เงาร้าง)
ถ้าจะลงทุนทำธุรกิจ ไม่ควรที่จะร่วมหุ้นหรือไว้ใจบริวารให้มากนัก
อย่าเป็นนักบุญให้ผู้อื่น จนเกิดเป็นความทุกข์ให้กับตนเอง
และหากช่วยเหลือใครแล้ว จะหวังผลคืนได้ยาก
เพราะหมายเลข 3 เป็นเลขของผู้ให้อย่างเดียว
แต่เมื่อผ่านปัญหาทั้งปวงไปแล้ว อีกไม่นานจะมีความสุข ความสบายกับครอบครัว

หมายเลข 4
แสดงถึง เลขแห่งจักรพรรดิ์ จะมีคนคอยเป็นห่วง จะเป็นที่รักใคร่ของผู้สูงอายุ
แต่จะมีความเหน็ดเหนื่อยมากอยู่เหมือนกัน
เพราะคำว่า "แม่ทัพ" ก็รู้ความหมายอยู่แล้ว
ไม่มีแม่ทัพคนใดไม่มีผลงาน แล้วจะได้เป็นแม่ทัพหรอกน่ะ
แต่หมายเลข 4 เป็นเลขแห่งความสำเร็จ ความยิ่งใหญ่ ความก้าวหน้า ความท้าทาย
หากจะให้มีความเจริญก้าวหน้าเร็วๆ ก็ต้องกล้าทำ กล้าแสดงออก กล้าตัดสินใจ
แต่ระวังจะมีเพศตรงข้ามหลงรัก และเข้ามาขอสวามิภักดิ์ด้วย
และไม่ต้องเป็นห่วง จะทำอะไรก็จะมีคนคอยสรรเสริญเยินยอ
แต่ก่อนที่จะมีการเยินยอ ก็จะมีการติฉินนินทาก่อน
หากอดทน ไม่สนใจ ไม่แคร์ความรู้สึก ของคนอื่นได้ละก็
ชีวิตนี้รวยใจสบายกาย อย่างแน่นอน

หมายเลข 5
แสดงถึง เลขแห่งเวทมนต์และเสน่ห์หากับเพศทั่วไป
มีความหยิ่งทะนงในตัวเอง ยอมก้มหัวให้ผู้อื่นได้แค่กาย แต่ใจนั้นไม่ยอมใคร
เป็นที่ปรึกษาผู้อื่นได้ดี แต่ตนเองยามเดือดร้อนหาใครช่วยปรึกษาด้วยนั้น ช่างยากมาก
เพราะหมายเลข 5 จะมีความสบายกาย แต่ทุกข์ใจอยู่เรื่อย
เพราะคิดมากจนเกินเหตุ แต่จะเป็นที่รักใคร่ของญาติมิตร
หากดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับเอกสาร จะประสบความสำเร็จดี มีชื่อเสียง
แต่ไม่ว่างาน ด้านไหนๆ หมายเลข 5 ทำได้หมด
แต่จะต้องมีเวลาให้กับเรื่องส่วนตัวบ้าง
เช่น เรื่องความรัก อย่าปล่อยให้นานเกินไป
จะได้พึ่งพาอาศัยบุตร-บริวารในภายภาคหน้า
จะมีความพอดีกับชีวิต เกิดความสุขตลอดกาล

หมายเลข 6
แสดงถึง คนที่มีดีอยู่ในตัว แต่ไม่ค่อยยอมนำออกมาใช้ให้เป็นประโยชน์
อย่าปล่อยเวลากับความคิดให้มากนัก เสน่ห์อยู่ที่ "เงา" ของตนเอง
จะมีคนรักใคร่ เอ็นดูทั้งเด็กและผู้ใหญ่ แต่ต้องแต่งตัวให้เกิดจุดเด่นแก่ตนเอง
มีจิตสัมผัสเหนือธรรมชาติ หากได้นั่งสมาธิ บำเพ็ญศีล จะมีบารมีสูง
ผู้คนจะรักใคร่เอ็นดู จะทำอะไรก็ล้วนแต่ประสบความสำเร็จดีทั้งสิ้น
ต้องลดโทนเสียงลงอีก เพราะโทนเสียงนั้น บ่งบอกถึงอำนาจความยิ่งใหญ่เกินตัว
ไม่เพราะแก่ผู้ได้ยิน ผู้ใหญ่รักใคร่เอ็นดู สนับสนุนในด้านการงาน
เมื่อเกิดปัญหาใดๆ ตนเองมักจะเอาตัวรอดได้เสมอ จะมีความสุขในบั้นปลาย

หมายเลข 7
อย่าปล่อยเวลาให้เสียไปกับคนอื่นให้มากนัก และอย่ายึดติดอยู่กับที่
เพราะเป็นเลขที่ต้องเดินทางเพื่อทำการค้า เป็นไกด์
หรือทำงานที่ต้องมีการเจรจาอยู่ตลอดเวลา จะทำให้ประสบความสำเร็จ
ระวังจะมีปัญห

หมายเลข 8
แสดงถึง คนมีบุญบารมี และวาสนาดีมีชื่อเสียง ให้คนทั้งหลายได้ประจักษ์
แต่ต้องหมั่นเรียนรู้ เร่งศึกษา อย่าอยู่นิ่ง กล้าเปิดเผย กล้าทำ กล้าแสดงออก กล้าตัดสินใจ
รีบไขว่คว้า แล้วหน้าที่การงาน ที่ทำจะได้ผลดีเป็นที่พอใจ และผู้ใหญ่จะให้ความช่วยเหลือ
อย่าหลงใหลมัวเมาในกิเลสตัณหาให้มากนัก อย่าสนุกจนลืมครอบครัว
แล้วบั้นปลายชีวิต จะมีฐานะดี เป็นที่พอใจของวงศ์ตระกูล
มีชื่อเสียง เป็นที่นับถือของคนทั่วไป แต่ต้องขยัน

หมายเลข 9
แสดงถึง อำนาจ ความยิ่งใหญ่ หากเป็นผู้นำจะเจริญก้าวหน้า ทำงานด้วยสมอง
เป็นนักพูด หรือนักบรรยาย จะมีชื่อเสียงโด่งดัง
แต่หน้าที่ที่เหมาะ คือ ผู้เผยแพร่ศาสนา จะมีผู้คนยกย่องสรรเสริญ
และยังมีจิตสัมผัสเหนือคนทั่วไป บางครั้งสามารถรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า
จะทำอะไรก็ประสบความสำเร็จได้ด้วยตนเอง
แต่มีข้อเสีย เพราะเป็นเลขแห่งคุณความดี หากทำในสิ่งไม่ดีหรือทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน
จะได้รับผลกรรม ซึ่งจะหนักกว่าผู้อื่นหลายเท่า และจะต้องระวังเรื่องชู้สาวให้มาก
อย่าใจอ่อน จะนำไปสู่ความเดือดร้อน เพราะจะมีเสน่ห์ต่อเพศตรงข้ามและผู้พบเห็น

วันอาทิตย์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ดูนิสัยคน จากเดือนเกิด

ดูนิสัยคน จากเดือนเกิด
มกราคม
o ทะเยอทะยาน จริงจัง อดทน
o ชอบสั่งสอน รักการเรียนรู้ ขยันทำงานตัวเป็นเกลียว
o มีความคิดสร้างสรรค์ ฉลาด เจ้าระเบียบ ทำอะไรเป็นแบบแผนขั้นตอนไม่มีนอกลู่นอกทางแม้แต่น้อย
o อ่อนไหว ช่างคิดรู้วิธีทำให้คนอื่นมีความสุข
o ปกติจะเงียบขรึมถ้าไม่ได้กำลังตื่นเต้น หรือ เข้าสู่ภาวะคับขัน
o สงบเสงี่ยม กระตือรือร้น โรแมนติกแต่ไม่ค่อยยอมแสดงออกเท่าไร
o ห่วงใยใส่ใจคนอื่น แต่ไว้วางใจใครง่ายไปหน่อย
o ติดบ้าน
o ซื่อสัตย์ ขี้อาย
o ไม่ค่อยชอบเข้าสังคม แถมขี้ หึงอีกต่างหาก
กุมภาพันธ์
o ช่างฝัน รักทั้งโลกแห่งความเป็นจริงและโลกแห่งความฝัน
o ไหวพริบปฏิภาณดี ฉลาด หากแต่บุคลิกภาพแปรปรวนไปนิด
o เจ้าอารมณ์ เงียบ ขี้อาย สุภาพ ไม่ค่อยมีความมั่นใจในตัวเอง
o ซื่อสัตย์
o ชอบตั้งเป้าหมายในชีวิต
o รักอิสระเหนือสิ่งอื่นใด
o ขบถได้ง่ายถ้าถูกบีบคั้น แอบก้าวร้าวบ้างบางครั้ง แต่ที่จริงอ่อนไหวมาก เสียใจง่าย ! โกรธก็ง่าย
o ไม่ชอบเรื่องไร้สาระ ชอบคบเพื่อนฝูงใหม่ๆ น่ารักๆ
o รักกิจการงานบันเทิงทุกชนิดโรแมนติกลึกๆ แต่ไม่แสดงออก
o เชื่อถือโชคลาง
o ใช้จ่ายเงินเก่ง
มีนาคม
o มีเสน่ห์ เป็นที่รักของผู้อื่น
o ขี้อาย สงบเสงี่ยม ลึกลับ
o ซื่อตรง เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เห็นอกเห็นใจ รักสันติและความสงบ
o อ่อนโยน ชอบเอาอกเอาใจคนอื่น
o ใจเย็น ไว้ใจได้
o เห็นค่าคนอื่น ใจดี
o เคร่งศีลธรรม แต่ติดนิสัยชอบประเมินคนอื่น
o เจ้าคิดเจ้าแค้น แถมยังเพ้อฝัน ชอบสร้างจินตนาการ
o รักการเดินทาง
o รักการเป็นจุดสนใจ
o ใจเร็วไปนิดถ้าคิดจะลงหลักปักฐานกับใคร
o ชอบตกแต่งบ้านเอง
o มีพรสวรรค์ เรื่องดนตรี รักข้าวของแปลกๆ
o ข้อควรระวังคืออารมณ์หงุดหงิดง่าย
เมษายน
o กระตือรือร้น ไม่ชอบหยุดนิ่งอยู่กับที่
o เข้มแข็งเด็ดขาด แต่กลับใจอ่อนอย่างไม่น่าเชื่อกับคำขอโทษ
o ดึงดูดใจและเป็นที่รักของผู้คน ใจแข็ง
o รักการเป็นจุดสนใจ
o พูดจาฉลาดถนอมน้ำใจทุกฝ่าย
o ชอบปลอบโยน
o มนุษย์สัมพันธ์ดี ชอบเสนอแนะแก้ปัญหาให้คนอื่น
o กล้าหาญ ชอบผจญภัย
o สุภาพเอื้อเฟื้อ แต่เจ้าอารมณ์ ชอบกระตุ้นทั้งตัวเองและคนรอบข้าง
o และขี้หึงมากเช่นกัน
พฤษภาคม
o ดื้อดึง ใจแข็ง กล้าแกร่ง
o ตั้งใจมั่น แรงจูงใจสูง
o หลักแหลม
o โกรธง่าย อารมณ์แปรปรวน
o ชอบการเป็นจุดสนใจ
o นิ่ง ไม่ค่อยแสดงอารมณ์มากนัก
o มีจุดยืนของตัวเอง แข็งนอก อ่อนใน
o มีอิทธิพล แต่ก็มีเสน่ห์
o ชอบปลอบโยนผู้อื่น
o มีระบบระเบียบ เพ้อฝัน ถือโชคลาง
o มีสัมผัสพิเศษ เข้าอกเข้าใจจินตนาการกว้างไกล
o รักการเดินทาง ไม่ชอบอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน ไม่ชอบหยุดนิ่ง
o ทำงานหนัก ความรับผิดชอบสูง แต่สุรุ่ยสุร่ายไปหน่อย
มิถุนายน
o คิดการณ์ไกล หัวก้าวหน้า
o ใจอ่อนกับคนใจดี
o สุภาพ พูดจาเบามีความคิดสร้างสรรค์มากมาย
o อ่อนไหว ชอบคิดค้น เสียตรงที่ขี้ลังเล
o ไม่รักษาเวลา
o สนุกสนาน มีอารมณ์ขัน ชอบเรื่องตลก
o มีทักษะดีในการโต้แย้ง ช่างพูดช่างคุย ชอบฝันกลางวัน
o เป็นมิตร รู้ว่าจะหาเพื่อนได้อย่างไร
o อดทน
o ชอบแสดงออก เสียใจง่าย ชอบแต่งตัว
o ขี้เบื่อ นานๆ จะแสดงอารมณ์ออกมาซักที ถ้าเสียใจต้องใช้เวลานานในการเยียวยา
o ชอบการบริหาร
o หัวรั้น
o ถือคติแปลกๆ ว่าใครประจบประแจงคือศัตรู ส่วนเพื่อนแท้ต้องไม่กลัวที่จะขัดใจ
กรกฎาคม
o อยู่ด้วยแล้วสนุก มีเสน่ห์
o เก็บความลับได้ แต่ยากที่จะเข้าถึงตัวตนที่แท้จริง
o เงียบถ้าไม่มีอะไรตื่นเต้น
o หยิ่งทะนงในตัวเอง ช่างเลือก
o มีความรับผิดชอบ ชอบปลอบโยนคนอื่น
o ซื่อตรง ซื่อสัตย์
o สนใจความรู้สึกคนรอบข้าง
o มีไหวพริบ
o ใจดี ไม่ผูกใจเจ็บใคร
o ไม่ชอบเรื่องไร้สาระทั้งหลาย
o มีอิทธิพลต่อคนอื่นทั้งในด้านร่างกายและจิตใจ
o อ่อนไหว ไม่ไว้วางใจใครง่ายๆ
o ห่วงใยใส่ใจคนอื่น ปฏิบัติต่อคนอื่นอย่างเท่าเทียม เห็นอกเห็นใจ
o แย่ตรงที่ชอบตัดสินคนอื่นเพียงเพราะสิ่งที่สังเกตเอาเอง
o รักการเดินทาง ศิลปะ ดนตรี และวรรณกรรม
o เรียนดี!
o ชอบอยู่คนเดียวเงียบๆ ไม่ชอบความวุ่นวาย
o เสียใจง่ายแถมต้องใช้เวลานานกว่าจะหาย
o ทุ่มเททุกอย่างให้งาน
สิงหาคม
o ชอบเรื่องตลก
o มีเสน่ห์ สุภาพอ่อนโยน
o ใส่ใจคนอื่น
o กล้าหาญไม่เคยกลัวอะไรทั้งสิ้น
o มั่นคงเด็ดเดี่ยว เป็นผู้นำเต็มตัว
o รู้ว่าต้องดูแลปลอบโยนคนอื่นอย่างไร แต่เสียตรงที่เอื้อเฟื้อเกินไป
o มั่นใจตัวเองเกินไป
o เรียกร้องต้องการการยกย่องนับถือมุ่งมั่นแรงกล้าสุดๆ
o แถม โกรธง่ายเกินเหตุ โดยเฉพาะเมื่อถูกแหย่หรือกระตุ้น
o ขี้หึง
o เคร่งศีลธรรม
o หุนหันพลันแล่น
o ความคิดอิสระไม่ค่อยเหมือนใคร
o รักทั้งการเป็นผู้นำและถูกนำ
o ช่างฝัน มีพรสวรรค์เรื่องศิลปะดนตรี และกลไกการป้องกันตัว
o อ่อนไหวเหมือนกันแต่ไม่ค่อยจะอยากยอมรับ ยุ่งเหยิงวุ่นวาย ตลอดเวลา
o โรแมนติค รักใคร่และห่วงใยคนอื่น
o ชอบคบหาเพื่อนฝูงใหม่ๆ
กันยายน
o สุภาพอ่อนโยน ประนีประนอม
o ระวังตัวแจ
o วางขั้นตอนชีวิตอย่างเป็นแบบแผน
o ชอบตอกย้ำจุดอ่อนคนอื่น
o ชอบการวิพากษ์วิจารณ์
o เยือกเย็นและสงบ
o ใจดี เห็นอกเห็นใจคนอื่น
o รอบรู้เรื่องต่างๆ
o ซื่อตรง
o ทำงานเก่ง
o อ่อนไหว
o ช่างคิด
o ความจำดี สนใจใฝ่รู้
o ชอบการแสวงหาความรู้ใหม่ๆ
o มีแรงจูงใจ เข้าอกเข้าใจ
o เก็บความลับอยู่
o รักกีฬากิจกรรมยามว่าง และ การเดินทาง
o ไม่แสดงอารมณ์เสียจนเกือบจะเป็นคนเก็บกด
o ช่างเลือกโดยเฉพาะเรื่องแฟน
ตุลาคม
o รักการพูดคุยเป็นชีวิตจิตใจ
o รักทุกคนที่รักตัวเอง
o รักการเจาะเข้าสู่จุดศูนย์กลางของเรื่องต่างๆ
o มีเสน่ห์
o สุภาพนุ่มนวล
o จิตใจและรูปร่างสวยงาม
o ไม่โกหกเสแสร้ง
o เห็นอกเห็นใจคนอื่น
o ให้ความสำคัญกับเพื่อน ชอบคบหาเพื่อนใหม่อยู่เรื่อย
o เสียใจง่ายก็จริงแต่ไม่ต้องห่วง แป๊บเดียวก็หายเศร้า
o ชอบช่วยเหลือคนอื่น
o ชอบฝันกลางวัน ความคิดบรรเจิด
o มีสัมผัสพิเศษ
o รักการเดินทาง ศิลปะ และวรรณกรรม
o พูดจานุ่มนวล รักและใส่ใจคนอื่น โรแมนติก ขี้หึง
o เป็นห่วงเป็นใย รักความยุติธรรม
o เชื่อคนง่าย เพราะมองโลกสวยงาม
o สูญเสียความเชื่อมั่นง่ายมาก
พฤศจิกายน
o ความคิดล้านแปดเต็มหัว ยากที่จะเข้าถึง คิดการณ์ล้ำหน้า
o โดดเด่นหัวไว ใส่ใจและชอบให้คำแนะนำ
o อยากรู้อยากเห็น
o รู้จักวิธีตะล่อมคุ้ยความลับ
o ชอบคิดอยู่ตลอดเวลา
o พูดน้อยแต่อัธยาศัยดี
o กล้าหาญและเอื้อเฟื้อ
o อดทน หัวรั้น ใจแข็ง ถือคติ ตราบใดที่ยังมีความหวัง ตราบนั้นก็ยังมีหนทางเสมอ
o มีเป้าหมายในชีวิต ไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ
o โกรธยากมากถ้าไม่ถูกยั่วจนถึงขั้นจริงๆ
o ชอบอยู่คนเดียว
o มีแรงจูงใจในตัวเอง โดยไม่สนใจการยอมรับนับถือจากคนอื่น
o มั่นคง เด็ดเดี่ยว
o รักใครรักจริง
o เจ้าอารมณ์
o โรแมนติก แต่ไม่ค่อยสนใจสัมพันธ์จริงจังนัก
o รักบ้าน
o ทำงานหนัก
o มีความสามารถสูง
o ไว้ใจได้
ธันวาคม
o ซื่อสัตย์และเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
o กระตือรือร้นในการแข่งขัน และปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น
o แต่ ไม่ค่อยมีความอดทน
o ทะเยอทะยาน มีอิทธิพลในสังคม
o รักการเข้าสังคมมาก
o รักการได้รับการยอมรับ การเป็นจุดสนใจ
o รักการที่มีคนอื่นมารักตัวเอง
o ซื่อตรงและไว้ใจได้ ไม่เสแสร้ง แต่อารมณ์เสียง่าย
o เกลียดการถูกบีบบังคับ
o รักเรื่องตลก มีอารมณ์ขันและมีเหตุผล

วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

กำเนิด ประวัติ เรื่องราวความเป็นมา พระอุปคุต - คัมภีร์อโศกอวทาน


รื่องราวความเป็นมาของท่าน จากที่ปรากฎอยู่ในคัมภีร์อโศกอวทาน มีกล่าวไว้ว่า พระอุปคุตเถระ ท่านถือกำเนิด มาในตระกูลของพ่อค้า ที่เมืองมถุราซึ่งเป็นเมืองที่ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำยมุนา ท่านมีพี่ชาย 2 คน ส่วนท่านนั้น เป็นคนสุดท้อง มูลเหตุที่ทำให้พระอุปคุตได้บวชนั้น ก็สืบเนื่องมาจาก บิดาของท่าน ได้เคยให้สัญญาไว้กับ พระเถระรูปหนึ่ง คือ พระสาณวาสี ว่าถ้าตนมีลูกชาย ก็จะให้บวชในพระพุทธศาสนา ทีนี้พอมีลูกชายคนแรก ก็ไม่ยอมให้บวช ด้วยอ้างว่าจะต้องเอาไว้ดูแลทรัพย์สิน ในเหย้าเรือน เอาไว้ถ้ามีลูกชายคนที่ 2 เมื่อไร แล้วจะยอมให้บวช แต่พอมีลูกชายคนที่ 2 เข้าจริง ๆ ก็หาเรื่องบิดเบือนอีก ว่ามีความจำเป็น ต้องเอาไว้สำหรับ ทำธุระตามหัวเมือง ขอให้รอไว้มีลูกชายคนที่ 3 แล้วจะต้องบวชให้อย่างแน่นอน

พอ ลูกชายคนที่ 3 ซึ่งมีชื่อว่า “อุปคุต” เกิดมาก็แกล้งทำไม่รู้ไม่ชี้กับสัญญาที่ได้ให้ไว้กับพระเถระ พระเถระท่านเห็นว่า ยังไม่ถึงเวลา ท่านจึงนิ่งไว้ก่อน และก็ไม่ได้ไปทวงถามถึงสัญญานั้น จนกระทั่งอุปคุตโตเป็นหนุ่ม

ตอน นั้นอุปคุตได้มาช่วยบิดาขายเครื่องหอมอยู่ที่ร้านในตลาด ตั้งแต่อุปคุตมาอยู่ที่ร้าน ก็ปรากฎว่า เครื่องหอม ขายดิบขายดี เป็นเทน้ำเทท่า ผู้คนมาซื้อหากันไม่ขาดสาย นี่เป็นธรรมดาของผู้มีบุญไปอยู่ที่ไหน ทรัพย์สิน ก็จะหลั่งไหลมา ด้วยอำนาจแห่งบุญ

เพราะฉะนั้นจึงเชื่อกันว่า ผู้ที่ค้าขาย หากได้บูชาพระอุปคุตเป็นประจำทุกเช้าตอนเปิดร้าน ก็จะทำให้ค้าขายดี มีคนมาซื้อหาไม่ขาดสายทรัพย์สิน ก็จะหลังไหลมาเทมา กิจการเจริญก้าวหน้าเป็นปึกแผ่นมั่นคงตลอดไป

วัน หนึ่งพระสาณวาสีเถระ ได้แวะเข้าไปในร้านที่อุปคุตขายของ และได้กล่าวธรรมกถาให้อุปคุตฟัง ปรากฏว่า อุปคุตฟังแล้ว เกิดสังเวช ได้ดวงตาเห็นธรรม บรรลุโสดาปัตติผล เป็นพระอริยบุคคลชั้นต้น ในพระพุทธศาสนา เมื่อพระสาณวาสีเถระเห็นว่า อุปคุตได้ดวงตาเห็นธรรมแล้ว จึงได้ไปทวงสัญญากับนายพาณิชย์ ผู้เป็นพ่อของอุปคุต “ไหนว่าจะถวายลูกชายคนที่ 3 แก่อาตมา เพื่อให้บวชยังไงล่ะ” พอนายพาณิชย์ถูกทวงถามเช่นนั้น ก็อับจนปัญญา ไม่อาจหาวิธีพูดบ่ายเบี่ยงหลีกเลี่ยงได้อีก จึงตัดสินใจอนุญาตให้อุปคุตออกบวชได้

กิตติศัพท์ขจรขจาย

เมื่ออก บวชแล้ว ท่านพระอุปคุตก็ตั้งใจเจริญกรรมฐาน จนได้บรรลุพระอรหันต์ เป็นพระอริยบุคคลชั้นสูงสุด ในพระพุทธศาสนา และต่อมาท่านพระอุปคุต ก็ได้เป็น พระอาจารย์สอนกรรมฐานที่มีชื่อเสียงโด่งดัง มากที่สุด ในยุคนั้น โดยในคัมภีร์ได้กล่าวว่า ท่านมีพระอรหันต์ผู้เป็นศิษย์อยู่ถึง 18,000 รูป ส่วนสำนักของท่าน ตั้งอยู่ ณ วัดนตภัติการาม ภูเขาอุรุมนท์

ศรัทธาของพระเจ้าอโศก

กิตติศัพท์ ด้านความรู้ความสามารถของท่านได้แพร่สะพัดไป จนทราบถึงพระกรรณของพระเจ้าอโศกมหาราช พระองค์ จึงตั้งพระทัย จะเสด็จไปอาราธนา ท่านพระอุปคุตให้มาโปรดยังกรุง ปาฏลีบุตร

แต่ วิสัยของพระอรหันต์ผู้ยิ่งด้วยอภิญญาเฉกเช่นท่านพระอุปคุตนั้น เพียงแค่พระเจ้าอโศกทรงดำริเท่านั้น ท่านก็ทราบแล้ว จึงได้รีบลงเรือเดินทางมาสู่กรุงปาฏลีบุตรในทันที ฝ่ายพระเจ้าอโศก เมื่อทรงทราบว่า ท่านพระอุปคุต ได้เดินทางมาแล้ว จึงได้โปรดให้ตั้งพิธีต้อนรับ และเสด็จมารับ ท่านพระอุปคุต ด้วยพระองค์เอง อันเป็นตำนาน ที่ปรากฎอยู่ ใน คัมภีร์อโศอวทาน

วันอังคารที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ไม่เชื่ออย่าลบหลู่


คาถาบูชาดวงประจำวันเกิดทั้ง ๗ วัน
๑. เกิดวันอาทิตย์ อะ วิช สุ นุต สา นุส ติ ชื่อคาถาพระนารายณ์และรูปใช้ในทางเมตตามหานิยม สวดวันละ ๖ จบ
๒. เกิดวันจันทร์ อิ ระ ชา คะ ตะ ระ สา ชื่อคาถากระทู้ ๗ แบก ใช้ในทางคงกระพัน สวดวันละ ๑๕ จบ
๓. เกิดวันอังคาร ติ หัง จะ โต โร ถิ นัง ชื่อคาถาฝนเสน่หา ใช้ในทางเมตตามหานิยม สวดวันละ ๘ จบ
๔. เกิดวันพุธกลางวัน ปิ สัม ระ โล ปุ สัต พุท ชื่อคาถาพระนารายณ์เกลื่อนสมุทร ใช้เสกปูนสูญฝี สวดวันละ ๑๗ จบ
๕. เกิดวันพุธกลางคืน คะ พุท ปัน ทู ทัม วะ คะ ชื่อคาถาพระนารายณ์พลิกแผ่นดิน ใช้ทางแก้ความผิด สวดวันละ ๑๒ จบ
๖. เกิดวันพฤหัสบดี ภะ สัม สัม วิ สะ เท ภะ ชื่อคาถา พระนารายณ์ครึ่งไตรภพ ใช้ทางเมตตามหานิยม สวดวันละ ๑๙ จบ
๗. เกิดวันศุกร์ วา โท โณ อะ มะ มะ วา ชื่อคาถาพระนารายณ์ สวาดหิมพานต์ ไช้ทางเมตตามหานิยม สวดวันละ ๒๑ จบ
๘. เกิดวันเสาร์ โส มา ณะ กะ ริ ถา โธ ชื่อคาถาพระนารายณ์ถอดจักร ใช้แก้ถอนคุณไสยศาสตร์ สวดวันละ ๑๐ จบ

วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2552

พระนางลักษมี


คาถาบูชาพระลักษมี

โอม พระลักษมี อิตถีเทวะ เมตตัญจะ มะหาลาโภ

ทุติยัมปิ พระลักษมี อิตถีเทวะ เมตตัญจะ มะหาลาโภ

ตะติยัมปิ พระลักษมี อิตถีเทวะ เมตตัญจะ มะหาลาโภ

บทสวด
โอม ศานตาการัม พุธะคะศะยะนัม ปัททะมะนาภัม สุเรศัม วิศาวาธารัม คะคะนะศะธะรึ ศัม เมฆะวัณณัมสุภางค์คัม ลักษมีการตัม กะมะละนะยะนัม วันเท วิษณุม ภะวะภะยะหะรัม ศันเทวะโลกัยกะนาถัม

เป็นบทสวดที่พราหมณ์โบสถ์เทพมณเฑียรใช้สวดขอพรจากพระแม่ลักษมีและเปนการสรรเสริญพระแม่ลักษมีพร้อมพ่อนารายณ์


อิทธิฤทธิ์ ๗ พญานาคราช มาจากสระอโนดาด เพื่อรักษาพระธาตุพนม


พญานาคราช มาจากสระอโนดาตมีนามตามลำดับเป็นมงคลตามอริยทรัพย์อันประเสริฐ คือ
๑. พญาสัทโทนาคราชเจ้าเป็นประธาน
๒. พญาศีลวุฒินาโค
๓. พญาหิริวุฒนาโค
๔. พญาโอตตัปปะวุฒนาโค
๕.พญาสัจจะวุฒินาโค
๖. พญาจาคะวุฒนาโค
๗. พญาปัญญาเตชะวุฒนาโค
ได้รับบัญชาจากพระอินทราธิราชเจ้าให้มารักษาพระอุรังคธาตุ พระธาตุพนม


ตอน เจ็ดพญานาคราช

เรื่องพญานาคนี้ เกิดขึ้นภายหลังจากที่ท่านเจ้าคุณพระธรรมราชานุวัตร เจ้าอาวาสวัดพระธาตุพนม
ได้ตั้งสำนักวิปัสสนากรรมฐานขึ้นได้ ๑ ปี เหตุเกิดขึ้นเมื่อเวลาประมาณตี ๒ เดือน ๑๑ ขึ้น ๕ ค่ำ พ.ศ. ๒๕๐๐
คืนนั้นฝนตกหนักครึ่งชั่วโมง แล้วตกพรำ ๆ มาอีกกว่า ๒๐ นาที ขณะที่ฝนตกฟ้าร้องดังสนั่นแผ่นดินสะเทือน
นายไกฮวด ชาวตลาดธาตุพนม ได้ออกมารองน้ำฝนที่หน้าร้านของตน เห็นแสงประหลาดเป็นลำงาม
โตเท่าลำต้นตาล ขนาดใหญ่มีสีต่าง ๆ กันถึงเจ็ดสี พุ่งแหวกอากาศแข่งกันเป็นลำยาวหลายเส้น
จากทางด้านทิศเหนือ มองเห็นได้แต่ไกล จึงได้ร้องเอะอะ เรียกภรรยามาดูแสงสีงามประหลาด
น่าสะพรึงกลัวขนหัวลุกนั่น พอมาถึงหน้าซุ้มประตูแสงนั้นก็หายเข้าไปในองค์พระธาตุพนม
เรื่องแสงประหลาดในครั้งนี้เป็นที่โจษจรรย์กันไปทั้งตลาด และข่าวนี้ก็ได้ล่ำลือกันไปถึงในวัด

ต่อมาอีกสองวัน คือวันขึ้น ๗ ค่ำ เดือนเดียวกัน ท่านพระธรรมราชานุวัตรได้ให้สามเณรทรัพย์
นั่งทางในตรวจดูเหตุการณ์ว่า แสงประหลาดเจ็ดสีเท่าลำต้นตาล ที่นายไกฮวดเห็นเข้ามาในวัดนี้
มีความจริงเท็จแค่ไหน สามเณรทรัพย์เจ้าฌานสมาธิอยู่คู่หนึ่ง ก็เข้าไปพบพญานาคราชทั้งเจ็ด
เรียงกันเป็นแถวอยู่บริเวณลานพระธาตุพนม ลำตัวโตใหญ่เท่าลำต้นตาล มีหงอนแดงน่าสะพรึงกลัว
สามเณรทรัพย์ยืนงงงันอยู่ด้วยความประหลาดใจ
พลันประเดี๋ยวเดียวพญานาคทั้ง ๗ ได้กลับกลายเป็นมาณพ ๗ ชาย ทรงเครื่องขาวเรียงกันเป็นแถวอยู่ที่เดิม
จะว่าก้มมิใช่ ยืนก็มิใช่ อากัปกิริยาอยู่ระหว่างยืนกับก้ม สามเณรทรัพย์สนเท่ห์ใจงงจนพูดอะไรไม่ออก
ทันใดมาณพผู้เป็นหัวหน้าได้ร้องถามว่า "พ่อเณรมีธุระอะไร อย่ากลัวจงบอกมา"
สามเณรยืนงงอยู่มิได้ตอบว่ากะไร ตั้งใจจะกลับกุฏิ พญานาคผู้เป็นหัวหน้าได้พูดขึ้นอีกว่า
“พ่อเณรจะกลับแล้วหรือยัง ขอไปด้วย จะไปสนทนากับท่านเจ้าคุณ”
พอขาดคำก็เข้าประทับร่างสามเณรทรัพย์ ทันทีด้วยจิตอำนาจที่เหนือกว่า
สามเณรทรัพย์พลันหมดความรู้สึกวูบไปทันที สักครู่ก็หันมายกมือไหว้
ท่านพระธรรมราชานุวัตร พร้อมกับพูดว่า “สวัสดีท่านเจ้าคุณ หม่อมฉันมาสองคืนแล้วมิรู้หรือ”
ท่านพ่อฯ รู้สึกแปลกใจและสงสัยจึงถามว่า “ท่านเป็นใคร ? มาจากไหน ? " เสียงประทับทรงตอบว่า
“พวกหม่อมฉันเป็นพญานาคราช มาจากสระอโนดาตในเทือกเขาหิมาลัย มีนามตามลำดับเป็นมงคล
ตามอริยทรัพย์อันประเสริฐ คือ
๑. พญาสัทโทนาคราชเจ้า เป็นประธาน ๒. พญาศีลวุฒินาโค ๓. พญาหิริวุฒนาโค
๔. พญาโอตตัปปะวุฒนาโค ๕. พญาสัจจะวุฒินาโค ๖. พญาจาคะวุฒนาโค
๗. พญาปัญญาเตชะวุฒนาโค
หม่อมฉันทั้งเจ็ดได้รับบัญชาจากพระอินทราธิราชเจ้าให้มารักษาพระอุรังคธาตุ
พวกเทพยดาที่รักษาองค์พระธาตุอยู่ก่อนนิสัยไม่ดีอาศัยกินสินบนและเครื่องเซ่นสรวงของชาวบ้าน
พวกหม่อมฉันไม่ต้องการอามิสสินจ้างรางวัลของเซ่นสรวงใดๆทั้งนั้นขอแต่น้ำบูชาถ้วยเดียวก็พอใจแล้ว
จะอยู่รักษาองค์พระธาตุไปจนกว่าจะหมดสิ้นศาสนาพระสมณโคดม”

เรื่องพญานาคราชเข้าประทับทรงนี้เกิดขึ้นในยุคที่พระเดชพระคุณท่านพระธรรมราชานุวัตร
(แก้ว กนฺโตภาโส ป.ธ. ๖ , น.ธ.เอก ) เป็นเจ้าอาวาสวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร (พ.ศ.๒๔๘๐-๒๔๕๓ )
พระเดชพระคุณองค์นี้ลูกศิษย์ลูกหาและประชาชนทั่วไปมักเรียกท่านว่า “ท่านพ่อ”
ซึ่งเป็นคำยกย่องของศิษยานุศิษย์และประชาชนบ้านได้ถวายนามนี้ให้กับท่านพ่อพระธรรมราชานุวัตร
ท่านเกิดเมื่อปี ๒๔๕๐ บรรพชาเป็นสามเณรและอุปสมบทเป็นพระภิกษุที่วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร
เมื่อปี พ.ศ.๒๔๗๑ มีนามเดิมว่าแก้ว อุทุมมาลา มีชาติภูมิใกล้ๆกับพระธาตุพนมนี้เอง
ศึกษาทางธรรมได้เปรียญ ๖ ประโยค ได้เป็นเจ้าอาวาสเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๐ ท่านเป็นผู้มีความรู้
และชอบค้นคว้าวิชาโบราณคดีประวัติศาสตร์จนได้รับขนานนามว่า นักปราชญ์แห่งลุ่มน้ำโขง
ท่านได้ทำนุบำรุงวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหารและให้เจริญก้าวหน้าอย่างมากมาย
ในปี พ.ศ. ๒๔๙๙ ท่านได้ก่อตั้งสำนักวิปัสสนากรรมฐานขึ้นที่วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร
และได้ส่งพระภิกษุสามเณรและแม่ชีไปศึกษาวิปัสสนากรรมฐานจากหลายสำนัก
ได้ฝึกพระภิกษุสามเณรในวัดอยู่เสมอ ๆ
ในเรื่องการนั่งประทับทรงเกี่ยวกับพญานาคนี้ท่านพ่อเคยกล่าวว่า
“ฉันเป็นคนชอบค้นคว้า และพิสูจน์เรื่องลึกลับต่าง ๆ อยู่เสมอไม่ค่อยจะเชื่ออะไรง่าย ๆ
แต่เรื่องพญานาคทั้งเจ็ดองค์เข้าทรงที่วัดนี้นะเป็นเรื่องมหัศจรรย์มากอยู่ทีเดียว
ส่วนใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อนั้นเป็นเรื่องของส่วนบุคคล”
ต่อมาพญานาคก็เข้าประทับทรงสามเณรทรัพย์เรื่อย ๆ เป็นต้นว่าแสดงธรรมสั่งสอน
เมื่อทางวัดมีเรื่องเดือดร้อนก็บอกได้ล่วงหน้าอย่างแม่นยำและแนะแนวทางแก้ไข
ท่านพ่อฯเริ่มเอาใจใส่อยากจะพิสูจน์ให้เห็นแจ้งจึงได้ให้พระวิปัสสนาธุระในวัดนั่งทางใน
ตรวจสอบด้วย “ตาญาณ” ในขณะที่พญานาคเข้าประทับทรงร่างของสามเณรทรัพย์
ครั้นแล้วก็ได้พบมาณพรูปงามแต่งองค์ทรงเครื่องคล้ายเจ้าฟ้ามหากษัตรย์จำนวน ๗ องค์
ปรากฏร่างทิพย์ มีรัศมีกายสีสันสวยงามต่าง ๆ กันเช่น สีน้ำเงิน สีเขียวนิลสีเขียวอ่อน สีเหลือง
สีชมพู สีแสด และสีขาวองค์ที่กำลังเข้าประทับทรงสามเณรทรัพย์เป็นสง่า
หาได้แทรกซ้อนอยู่ในร่างคนทรงแต่อย่างใดไม่
พระวิปัสสนาผู้มีตาฌาณหรือทิพยจักษุรู้สึกประหลาดใจได้ไต่ถามทักทายทางใน
โดยไม่ผ่านทางร่างของสามเณรทรัพย์ “ท่านทั้งเจ็ดองค์เป็นใคร ? มาจากไหน ? มีนามว่าอะไร ?"
พระวิปัสสนาผู้มีตาฌาณหรือทิพยจักษุรู้สึกประหลาดใจได้ไต่ถามทักทายทางใน
โดยไม่ผ่านทางร่างของสามเณรทรัพย์ “ท่านทั้งเจ็ดองค์เป็นใคร ? มาจากไหน ? มีนามว่าอะไร ?"
ร่างทิพย์ที่มีกายสีน้ำเงินตอบไพเราะเปี่ยมเมตตาว่า
“หม่อม ฉันมีนามว่าพญาสัทโทนาคราชเจ้าเป็นหัวหน้า หรือประธานหมู่คณะ
องค์ถัดไปที่มีสีเขียวนิลคือพญาศีลวุฒินาโค
องค์สีเขียวอ่อนคือพญาหิริวุฒินาโค
องค์สีเหลืองคือพญาโอตตัปปะวุฒินาโค
องค์สีชมพูคือพญาพาหุสัจจะวุฒินาโค
องค์สีแสดคือพญาจาคะวุฒินาโค
องค์สีขาวคือพญาปัญญาเตชะวุฒินาโค
มาจากสระอโนดาตในเทือกเขาหิมาลัยพระอินทราธิราชเจ้าบนสวรรค์
ทรงมีบัญชาให้มาเฝ้ารักษาองค์พระธาตุพนมด้วยว่าพวกเทพยดาที่เคยรักษาที่นี่อยู่ก่อน
มีนิสัยไม่ดี อาศัยแต่อามิสของชาวบ้านเครื่องเซ่นสรวง หมูเห็ดเป็ดไก่ เหล้ายาปลาปิ้ง
เป็นที่อับอายขายหน้าแก่คนต่างศาสนาทำให้พระพุทธศาสนามัวหมอง
หม่อมฉันจึงได้ขับไล่พวกเทพยดาชั่วช้าเหล่านั้นให้หนีไปแล้วเข้ารักษาองค์พระธาตุพนม”
พระวิปัสสนาธุระผู้มีทิพยจักษุพอใจในคำตอบมากจึงออกจากฌาณสมาธิ
แล้วคลานเข้ามากระซิบที่หูท่านพ่อฯ แล้วบอกว่าลองสอบถามสามเณรทรัพย์ดัง ๆ
เพื่อให้ได้ยินกันทั่ว ๆ ในหมู่ผู้เข้าสังเกตการณ์ในวันนั้นซึ่งจำนวนมากว่า
“ท่านเป็นใคร? ” มาจากไหน ? มีนามว่าอะไร ?”
ปรากฏว่าสามเณรทรัพย์ที่ถูกประทับทรงตอบได้ถูกต้อง
ตรงกันกับที่พระวิปัสสนาจารย์ได้ไต่ถามทางตาในหรือทิพยจักษุทุกประการ
เป็นที่น่าพอใจของท่านพ่อฯ มาก และเริ่มจะเชื่อมาบ้างแล้วจึงได้สอบถามต่อไปอีกว่า
“ พระองค์เป็นพญานาคราชเจ้ามาปรากฏในที่นี้เหตุไฉนจึงแปลงร่างเป็นเทพบุตรมา
จะให้เชื่อได้อย่างไรว่าเป็นพญานาคราชจริง”
ร่างสามเณรที่ประทับทรงหัวเราะน้อย ๆก่อนตอบอย่างไพเราะว่า
“ ที่ไม่ปรากฏกายเป็นพญานาคมาก็เปรียบเสมือนคนเราได้เห็นผ้าขาดย่อมจะไม่สวยงามตา
อันว่าสภาพร่างกายของพญานาคนั้นย่อมจะเป็นที่น่าสะพรึงกลัวไม่งามตาสำหรับมนุษย์มิใช่หรือท่านเจ้าคุณ”
ท่านพ่อฯ พอใจในคำตอบอันคมคายนี้แล้วได้ถามต่อไปว่า
“ พระองค์เฝ้ารักษาองค์พระธาตุพนมนี้ เฝ้าอย่างไร? ”
พญานาคราชตอบว่า
“หม่อมฉันพญาสัทโทนาคราชเจ้ารักษาองค์พระธาตุพนมด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
พญาศีลวุฒินาโคและพญาหิริวุฒินาโครักษาด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้
พญาโอตตัปปะวุฒินาโคและพญาพาหุสัจจะวุฒินาโครักษาด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้
พญาจาคะวุฒินาโคและพญาปัญญาเตชะวุฒินาโครักษาด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือ”
“พระองค์ทรงอยู่กินหลับนอนอย่างไร” ท่านพ่อถามต่ออีก


“พวกหม่อมฉันมีทิพยวิมานอยู่ใต้องค์พระธาตุนี้เองจะเรียกว่าอยู่ใต้บาดาลก็ได้
เป็นทิพยวิมานที่สวยงามมาก มีสระน้ำ มีสวนดอกไม้มีภูเขาเงิน ภูเขาทอง
ว่าง ๆ นิมนต์ท่านเจ้าคุณลงไปชมดูก็ได้ผู้ใด้สมาธิทางสมถวิปัสสนา
ได้สมาธิแก่กล้าดับพละได้แม้เพียงห้านาทีก็สามารถจะเห็นพวกหม่อมฉันได้ทางฌาณ
ท่านเจ้าคุณก็ดับพละได้มิใช่หรือ ? ” ร่างทรงสามเณรตอบ
ท่านพ่อ ถามต่อไปอีกว่า
“ พระองค์จะให้หม่อมฉันเข้าใจว่าที่พระธาตุพนมนี้เป็นสวรรค์ชั้นฟ้าชั้นจาตุมหาราชิกากระนั้นหรือ ”
“ ถูกต้องแล้วเมื่อสร้างองค์พระธาตุพนมเสร็จพญาทั้ง ๕ นครผู้สร้างได้กลับบ้านกลับเมือง
และพระมหากัสสปะเถระเจ้าพร้อมด้วยพระอรหันต์ทั้งห้าร้อยองค์ได้เสด็จกลับชมพูทวีป
ด้วยอธิษฐานจิตอภิญญาแล้ว พระอินทราธิราชเจ้าได้ทรงแต่งตั้งให้เทวดามีชื่อเป็นหัวหน้า
พากันอยู่ปกปักรักษาองค์พระธาตุพนมพร้อมบริวารจำนวนสี่พันหกพระองค์
และมเหศักดิ์หลักเมืองอีกสามพระองค์ เมื่อที่ไหนมีเทพยดามาสิงสถิตอยู่
ที่นั่นจะต้องมีสวรรค์วิมานสำหรับให้เทพยดาอยู่เป็นธรรมดาเมื่อพวกหม่อมฉันมาถึงที่นี่
เพื่อรับหน้าที่แทน ได้ขับเทพยาดาเหล่านั้นไปหมดแล้วสภาวะทิพย์หรือประสาทวิมานสวรรค์ชั้นฟ้า
ของพวกเทพยดาก็สลายไปโดยอัตโนมัติ คือว่าสภาวะทิพย์ของเทพยดาทั้งหลาย
ย่อมเกิดขึ้นด้วยบุพฤทธิ์ ไม่ใช่มีขึ้นอยู่ก่อนแล้วอย่างพวกหม่อมฉันนี้พอมาถึงที่นี่
สภาวะทิพย์ด้วยบุญฤทธิ์ก็เนรมิตทิพย์วิมานใต้บาดาลอยู่ภายใต้องค์พระธาตุพนมให้เลยทีเดียว ”
พญาสัทโทนาคราชเจ้า ทรงให้อรรถาธิบายผ่านร่างทรงท่านพ่อฯ พอใจมากจึงถามต่อไปอีกว่า
“ พระองค์เป็นพญานาคราชเจ้าอยู่ในบาดาลหรือใต้ดินนี้หายใจได้อย่างไร? ”
“ทารกในครรภ์มารดาหายใจได้ ตัวด้วงในไม้หายใจได้ไส้เดือนในดินหายใจได้อย่างไร
หม่อมฉันก็หายใจได้อย่างนั้นดุจเดียวกัน”
ร่างทรงตอบ ท่านพ่อถามต่อไปว่า
“สามเณรทรัพย์ผู้นี้มีศีลบริสุทธิ์มีฌาณสมาธิแก่กล้า ขณะเข้าฌานตรวจสอบในวันแรก
ได้พบพระองค์ที่ลานพระธาตุนั้นเหตุไฉนพระองค์จึงเข้าประทับทรงร่างสามเณรผู้กำลังอยู่ในฌาณได้หม่อมฉันสงสัย”
“ผู้มีฌานแก่กล้ามีศีลบริสุทธิ์อย่างสามเณรน้อยรูปนี้ วิญญาณผีปิศาจเข้าสิงเข้าทรงไม่ได้หรอก
แต่สำหรับวิญญาณชั้นสูงคือ เทพพรหมแล้วละก็สามารถจะเข้าประทับทรงได้ด้วยสาเหตุสองประการ
คือหนึ่งเข้าเพราะมีกรรมเก่าพัวพันมาก่อนในอดีตชาติ สองเข้าเพื่อเจตนาจะมาสร้างกุศลผลบุญ
ทำความดีไว้ในโลกมนุษย์หม่อมฉันเข้าประทับทรงสามเณรน้อยรูปนี้ก็ด้วยเหตุประการหลัง
คือต้องการติดต่อกับท่านเจ้าคุณ เพื่อแจ้งประสงค์ให้ทราบว่า พวกหม่อมฉันทั้ง ๗ นี้
นอกจากจะมีหน้าที่รักษาองค์พระธาตุพนมแล้วยังมีจิตเมตตาใคร่ที่จะช่วยบำบัดทุกข์
ทั้งกายและทางใจให้แก่มนุษย์ทุกเพศทุกวัยไม่เลือกชาติไม่เลือกศาสนา” ร่างทรงกล่าว
“ พระองค์จะให้หม่อมฉันช่วยอะไรบ้าง ” ท่านพ่อฯ ถาม
“ท่านเจ้าคุณจะต้องเป็นประธานในการประทับทรงทุกครั้งไปผู้ที่จะเป็นร่างทรงคือสามเณร
หรือแม่ชีผู้มีศีลบริสุทธิ์เท่านั้น ฆราวาสไม่เอา ประชาชนที่จะมาบำบัดทุกข์ทั้งกายและใจนี้
จะต้องทำบัญชีรายชื่อไว้เป็นหลักฐานเหมือนทะเบียนประวัติคนไข้ตามโรงพยาบาล
แล้วจากนั้นนำคนมีทุกข์ที่ได้ลงชื่อเสียงเรียงนามแล้วมาให้หม่อมฉันตรวจสอบอาการดู
ว่าเขาเจ็บไข้ได้ป่วยอะไรกันแน่ ถ้าเป็นโรคภัยไข้เจ็บทางกายก็จะได้สั่งยาให้กิน
เช่นยาไทย ยาจิต ยาฝรั่ง หรือสมุนไพรที่มีอยู่ตามเรือกสวนไร่นา
แต่ถ้าเป็นประเภทโรคจิตฟั่นเฟือน มึนซึมกระทือ เป็นบ้าใบ้ เสียจริต
มึนงงหลงใหลหวาดกลัวร้องไห้ หัวเราะ ใจคอหงุดหงิด จิตไม่เที่ยง ฝันร้ายนอนสะดุ้ง
คิดมากปวดหัวมัวตานาน ๆ ต้องคุณผี คุณคนทำ ผีเข้าเจ้าสิง เป็นโรคลมต่าง ๆ
ไข้หนาว ๆ ร้อนๆ เจ็บท้อง เจ็บหน้าอก ง่อยเปลี้ยเสียขา ตามืดบอด ปวดหลังปวดเอว
สัตว์พิษกัดต่อยอะไรเหล่านี้จะต้องรักษากันด้วยน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์และจิตอำนาจเทวฤทธิ์ ”
“สาธุเป็นพระมหากรุณาของพระองค์ยิ่งล้นพ้นที่ทรงมีจิตคิดเมตตาต่อมนุษย์
ผู้มีทุกข์ทั้งหลายในโลกนี้หม่อมฉันพร้อมแล้วที่จะปฏิบัติตามประสงค์ทุกประการ”
ท่านพ่อฯกล่าวด้วยบังเกิดความเชื่อมั่นแน่แล้วว่าวิญญาณที่ประทับทรงร่างสามเณรทรัพย์นี้
คือพญานาคราชเจ้าผู้มีอิทธิฤทธิ์บารมีในทางสัมมาทิฎฐิ เป็นเทพเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์รับบัญชาการจากพระอินทราธิราช
“พระองค์ต้องการจะให้มีเครื่องเซ่นสรวงบูชาอะไรบ้างหรือเปล่า”
“เครื่องเซ่นสรวงบูชาไม่เอาขายหน้าชาวต่างชาติต่างศาสนาเขา
ทำให้พระพุทธศาสนามัวหมอง หม่อมฉันขอน้ำเปล่าสักถ้วยหนึ่งก็พอแล้ว
ด้วยว่าน้ำนี้เป็นสภาวะของพวกนาคราช คือต้องอาศัยน้ำเป็นสื่อปัจจัย
ถ้าใครผู้ใดมีจิตรำลึกถึงต้องการจะติดต่อด้วยกับหม่อมฉัน
ก็ขอให้ตั้งถ้วยน้ำขึ้นแล้วลอยด้วยดอกมะลิหอม จุดธูปเจ็ดดอกกล่าวอัญเชิญ
ก็จะสามารถส่งกระแสจิตติดต่อกันได้ทันที” พญาสัทโทนาคราชเจ้ากล่าว

นี้คือค้นเหตุความเป็นมาแรกเริ่มเดิมที่จะจัดให้มีการประทับร่างทรง
พญานาคทั้ง๗ องค์ขึ้นที่วัดพระธาตุพนม ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๐๐ เป็นต้นมา
ท่านพ่อพระธรรมราชานุวัตร ได้กล่าวอยู่เสมอว่าพระมหาเจดีย์พระธาตุพนมอันศักดิ์สิทธิ์
เก่าแก่อายุกว่า ๒๕๐๐ ปีองค์นี้เป็นที่รวมชีวิตจิตใจของชาวภาคอีสาน
และพี่น้องฝั่งลาวทั่วประเทศ เวลามีงานเทศกาลประจำปีจะมีพุทธศาสนิกชน
ทั้งสองฟากฝั่งแม่น้ำโขงมานมัสการเป็นแสน ๆ มีจำนวนไม่น้อยที่มาขอน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์
ของพญานาคทั้ง ๗ ไปกินไปทารักษาโรคภัยไข้เจ็บจนหายเป็นปกติดี
เป็นที่เรื่องลือในเรื่องความมหัศจรรย์บ้างก็มาขอหยูกยา บ้างก็มาขออาบน้ำมนต์
บ้างก็มาขอบูชาพระเครื่องที่พญานาคทั้ง ๗ ปลุกเสก
“ให้เอาน้ำใสสะอาดใส่เอาผ้าขาวสะอาดหุ้มปากให้แน่น
แล้วยกเข้าไปตั้งไว้ติดโคนฐานองค์พระธาตุพนมภายในกำแพงแก้ว
เก็บไว้ในที่นั้นอย่างน้อยหนึ่งคืน เพื่อให้ท่านเสกคาถาเทวฤทธิ์
วันรุ่งขึ้นก็เอาออกมาใส่หม้อน้ำมนต์ที่อยู่ในกุฏิของท่านเมื่อใครเป็นอะไรให้มาขอก็ให้ไป”
สำหรับไหพระธาตุนี้ เมื่อคราวพระธาตุพนมพังทลายปี ๒๕๑๘
ไหน้ำมนต์พระธาตุตั้งอยู่ในบริเวณกำแพงแก้วชั้นที่ ๒ ห่างจากองค์พระธาตุพนมประมาณ ๓ เมตร
อยู่ในท่ามกลางอิฐซึ่งพังลงมาทับถมอยู่รอบ ๆ ไม่ได้รับความเสียหายแม้แต่น้อยยังคงไว้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์เช่นเดิม
นอกจากการเสกน้ำมนต์รักษาคนไข้แล้วพญานาคราชเจ้า ที่ประทับทรงสามเณรยังรักษาคนที่ป่วย
เป็นนิ่วให้ด้วยโดยการใช้พลังเทวอำนาจสูบนิ่วออกมาให้เห็นกับตาคนป่วยเป็นพันราย
หายจากการทรมานจากโรคนิ่วโดยวิธีนี้

วิธีการรักษาก็คือขั้นแรกจะต้องทำพิธีอัญเชิญพญานาคราชเจ้าทั้ง ๗ องค์มาชุมชนเสียก่อน
ต่อจากนั้นสามเณรก็จะเข้าสมาธิจิตติดต่อเข้าเฝ้าพญานาคราชเจ้าทั้งเจ็ด
ตอนนี้เองพญานาคราชองค์ใดองค์หนึ่งจะเข้าประทับทรงร่างสามเณร
ท่านพ่อฯซึ่งเป็นประธานในการประทับทรงนี้จะให้คนไข้ที่เป็นนิ่วเข้ามา
นั่งหน้าแท่นพุทธบูชาห่างจากสามเณรประมาณ ๑ วา
โดยมีพระผู้เชี่ยวชาญวิปัสสนาธุระอีกรูปหนึ่งนั่งอยู่ห่าง ๆ
หลับตาทำสมาธิคอยตรวจสอบเหตุการณ์ เมื่อพญานาคเข้าประทับทรงสามเณรแล้ว
พญานาคจะบอกให้คนไข้นั่งตามสบาย เพื่อให้ท่านตรวจหาก้อนนิ่วในท้อง
และโรคภัยอื่น ๆ ที่อาจมีแอบแฝงอยู่ ใช้เวลาตรวจสอบประมาณ ๑ นาที
ก็สามารถจะบอกได้ว่าในท้องมีนิ่วกี่ก้อน จากนั้นก็ให้คนไข้อ้าปากขึ้น
สักครู่เดียวพญานาคราชเจ้าจะดูดเอาก้อนนิ่วในท้องออกมา แล้วพ่นออกจากปาก
(ปากของสามเณรโดยก้อนนิ่วนี้จะมาเข้าปากสามเณรที่ถูกประทับทรงก่อนแล้วจึงพ่นออกมาอีกที)
พระผู้เชียวชาญวิปัสสนาธุระ หลับตาทำสมาธิจิตคอยตรวจสอบเหตุการณ์อยู่ตลอดเวลาบอกว่า
“ขณะที่คนไข้เป็นนิ่วอ้าปากอยู่นั้นมองเห็นกายทิพย์ของมนุษย์ร่างหนึ่งมีขนาดโตเท่านิ้วก้อย
มีรัศมีสุกปลั่งเหมือนประกายดาวบนฟ้าได้ลอยพุ่งออกจากร่างสามเณร เลื่อนไหลเข้าไปในปากคนไข้
แล้วก็กลับออกมาเข้าร่างสามเณรอย่างเดิมจากนั้นก็เห็นสามเณรพ่นก้อนนิ่วออกจากปาก”
ต่อมาพญานาคราชเจ้าได้เข้าประทับทรงทำการักษาโรคใช้ชาวบ้านอย่างพิสดารมหัศจรรย์
นั่น คือ รักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว หรือลูคีเมียด้วยการสูบเลือดให้ออกจากร่างคนไข้
พ่นออกมาทางร่างประทับทรงลงกระโถนแล้วเติมเลือดบริสุทธิ์ให้ด้วยสภาวะทิพย์
ปรากฏว่ารักษาคนไข้ที่เป็นโรคมะเร็งของเม็ดเลือดขาวด้วยวิธีนี้หายเป็นปกติ
มีอายุยืนยาวต่อไปหลายรายเป็นที่เลื่องลือ
พญานาคราชเจ้าที่เข้าประทับทรงสามเณรเพื่อรักษาโรคนั้น
นอกจากรักษาโดยการสูบนิ่วออกจากคนไข้แล้ว
ยังสามารถรักษาคนที่ถูกผีกระทำคนมีวิชาอาคมกระทำอีกด้วย
เช่น สูบตะปูขนาด ๓ นิ้ว ๓ ดอก ออกจากคนไข้รายหนึ่ง
อีกรายหนึ่งได้สูบเอากระดูกผียาวประมาณคืบศอกออก
บางรายก็สูบเอาเส้นผมผีตายท้องกลมบ้าง ก้อนกรวดบ้าง
ด้ายมัตตาสังข์ คางคกตายซากเศษกระดูก ของมีคมและอะไรต่อมิอะไร
อีกหลายอย่างซึ่งสิ่งของ ท่านพ่อฯได้เก็บไว้ให้คนที่รักษาเป็นบางส่วน
ที่เก็บไว้ก็มีไม่ได้มาก เช่น เนื้อควายสด ๆ เปลวหมูดิบ ๆ หนังควาย คุณไสยสด ๆ
ประเภทนี้เมื่อสูบออกจากท้องจะมีขนาดเท่าหัวแม่มือเท่านั้น
แต่สักประเดี๋ยวก็จะเกิดอาการสั่นกระดุกกระดิกคล้ายสิ่งมีชีวิตและขยายตัวโตขึ้น ๆ
เอาไปชั่งดูปรากฏว่าน้ำหนัก ๓ - ๔ กิโลกรัมก็มี ต้องให้ศิษย์วัดเอาไปฝังในป่าช้า
ท่านพ่อฯบอกว่าพวกคุณไสยนี้เป็นวิชาลึกลับร้ายกาจของพวกเขมรและอิสลาม
พญานาคราชเจ้าท่านบอกว่าตรวจเห็นได้ง่ายกว่าอย่างอื่น เพราะเป็นวัตถุที่มีอยู่ในโลก
แต่ถ้าเป็นวิญญาณผีร้ายประเภทต่าง ๆ เข้าสิงในร่างแล้ว จะมองเห็นเป็นจุดดำ ๆ
หลบซ่อนอยู่ในร่างกายคนไข้ที่โน่นที่นี่ต้องสำทับสั่งให้ปรากฏร่างมันถึงจะแสดงตัวเป็นรูปร่างให้เห็น
พญานาคจะสั่งให้มันออกจากร่างคนไข้ ผีบางตัวก็ยอมโดยดีด้วยความกลัว
แต่ผีบางตัวดุร้ายมีฤทธิ์ไม่ยอมออกง่าย ๆ ผีประเภทนี้พญานาคราชเจ้า
ท่านเพียงแต่คอยยืนกำกับสั่งการให้ร่างทรงปราบเองโดยบอกคาถาปราบให้บ้าง
ซึ่งคนไข้เหล่านี้เมื่อวิญญาณผีออกจากร่างไปก็จะหายเป็นปกติ
การรักษาคนไข้ของพญานาคราชเจ้าด้วยการเข้าประทับทรงนี้
ส่วนมากหายขาดจากโรงภัยได้อย่างมหัศจรรย์แต่ก็มีหลายรายเหมือนกันที่ไม่รอด
เพราะถึงคราวที่ต้องตายไปตามวิบากกรรมของตน รายไหนจะไม่รอด
พญานาคราชเจ้าจะตรัสผ่านทางร่างประทับทรงว่าคนไข้รายนี้อาการหนักนะท่านเจ้าคุณ
ถ้าท่านบอกอย่างนี้ก็แปลว่าแย่ไม่มีทางรักษาได้นอกจากจะผ่อนหนักเป็นเบา
เช่นกำหนดคงจะตายภายในสามวันหรือเจ็ดวันแต่พ่อแม่หรือลูกหลานอยู่ไกลยังมาไม่ถึง
อยากเห็นหน้าอยากจะสั่งเสียอะไรเหล่านี้พญานาคราชเจ้าก็พอจะช่วยต่ออายุให้ได้บ้างตามสมควรแก่กรณี...