วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2552

อิทธิฤทธิ์ ๗ พญานาคราช มาจากสระอโนดาด เพื่อรักษาพระธาตุพนม


พญานาคราช มาจากสระอโนดาตมีนามตามลำดับเป็นมงคลตามอริยทรัพย์อันประเสริฐ คือ
๑. พญาสัทโทนาคราชเจ้าเป็นประธาน
๒. พญาศีลวุฒินาโค
๓. พญาหิริวุฒนาโค
๔. พญาโอตตัปปะวุฒนาโค
๕.พญาสัจจะวุฒินาโค
๖. พญาจาคะวุฒนาโค
๗. พญาปัญญาเตชะวุฒนาโค
ได้รับบัญชาจากพระอินทราธิราชเจ้าให้มารักษาพระอุรังคธาตุ พระธาตุพนม


ตอน เจ็ดพญานาคราช

เรื่องพญานาคนี้ เกิดขึ้นภายหลังจากที่ท่านเจ้าคุณพระธรรมราชานุวัตร เจ้าอาวาสวัดพระธาตุพนม
ได้ตั้งสำนักวิปัสสนากรรมฐานขึ้นได้ ๑ ปี เหตุเกิดขึ้นเมื่อเวลาประมาณตี ๒ เดือน ๑๑ ขึ้น ๕ ค่ำ พ.ศ. ๒๕๐๐
คืนนั้นฝนตกหนักครึ่งชั่วโมง แล้วตกพรำ ๆ มาอีกกว่า ๒๐ นาที ขณะที่ฝนตกฟ้าร้องดังสนั่นแผ่นดินสะเทือน
นายไกฮวด ชาวตลาดธาตุพนม ได้ออกมารองน้ำฝนที่หน้าร้านของตน เห็นแสงประหลาดเป็นลำงาม
โตเท่าลำต้นตาล ขนาดใหญ่มีสีต่าง ๆ กันถึงเจ็ดสี พุ่งแหวกอากาศแข่งกันเป็นลำยาวหลายเส้น
จากทางด้านทิศเหนือ มองเห็นได้แต่ไกล จึงได้ร้องเอะอะ เรียกภรรยามาดูแสงสีงามประหลาด
น่าสะพรึงกลัวขนหัวลุกนั่น พอมาถึงหน้าซุ้มประตูแสงนั้นก็หายเข้าไปในองค์พระธาตุพนม
เรื่องแสงประหลาดในครั้งนี้เป็นที่โจษจรรย์กันไปทั้งตลาด และข่าวนี้ก็ได้ล่ำลือกันไปถึงในวัด

ต่อมาอีกสองวัน คือวันขึ้น ๗ ค่ำ เดือนเดียวกัน ท่านพระธรรมราชานุวัตรได้ให้สามเณรทรัพย์
นั่งทางในตรวจดูเหตุการณ์ว่า แสงประหลาดเจ็ดสีเท่าลำต้นตาล ที่นายไกฮวดเห็นเข้ามาในวัดนี้
มีความจริงเท็จแค่ไหน สามเณรทรัพย์เจ้าฌานสมาธิอยู่คู่หนึ่ง ก็เข้าไปพบพญานาคราชทั้งเจ็ด
เรียงกันเป็นแถวอยู่บริเวณลานพระธาตุพนม ลำตัวโตใหญ่เท่าลำต้นตาล มีหงอนแดงน่าสะพรึงกลัว
สามเณรทรัพย์ยืนงงงันอยู่ด้วยความประหลาดใจ
พลันประเดี๋ยวเดียวพญานาคทั้ง ๗ ได้กลับกลายเป็นมาณพ ๗ ชาย ทรงเครื่องขาวเรียงกันเป็นแถวอยู่ที่เดิม
จะว่าก้มมิใช่ ยืนก็มิใช่ อากัปกิริยาอยู่ระหว่างยืนกับก้ม สามเณรทรัพย์สนเท่ห์ใจงงจนพูดอะไรไม่ออก
ทันใดมาณพผู้เป็นหัวหน้าได้ร้องถามว่า "พ่อเณรมีธุระอะไร อย่ากลัวจงบอกมา"
สามเณรยืนงงอยู่มิได้ตอบว่ากะไร ตั้งใจจะกลับกุฏิ พญานาคผู้เป็นหัวหน้าได้พูดขึ้นอีกว่า
“พ่อเณรจะกลับแล้วหรือยัง ขอไปด้วย จะไปสนทนากับท่านเจ้าคุณ”
พอขาดคำก็เข้าประทับร่างสามเณรทรัพย์ ทันทีด้วยจิตอำนาจที่เหนือกว่า
สามเณรทรัพย์พลันหมดความรู้สึกวูบไปทันที สักครู่ก็หันมายกมือไหว้
ท่านพระธรรมราชานุวัตร พร้อมกับพูดว่า “สวัสดีท่านเจ้าคุณ หม่อมฉันมาสองคืนแล้วมิรู้หรือ”
ท่านพ่อฯ รู้สึกแปลกใจและสงสัยจึงถามว่า “ท่านเป็นใคร ? มาจากไหน ? " เสียงประทับทรงตอบว่า
“พวกหม่อมฉันเป็นพญานาคราช มาจากสระอโนดาตในเทือกเขาหิมาลัย มีนามตามลำดับเป็นมงคล
ตามอริยทรัพย์อันประเสริฐ คือ
๑. พญาสัทโทนาคราชเจ้า เป็นประธาน ๒. พญาศีลวุฒินาโค ๓. พญาหิริวุฒนาโค
๔. พญาโอตตัปปะวุฒนาโค ๕. พญาสัจจะวุฒินาโค ๖. พญาจาคะวุฒนาโค
๗. พญาปัญญาเตชะวุฒนาโค
หม่อมฉันทั้งเจ็ดได้รับบัญชาจากพระอินทราธิราชเจ้าให้มารักษาพระอุรังคธาตุ
พวกเทพยดาที่รักษาองค์พระธาตุอยู่ก่อนนิสัยไม่ดีอาศัยกินสินบนและเครื่องเซ่นสรวงของชาวบ้าน
พวกหม่อมฉันไม่ต้องการอามิสสินจ้างรางวัลของเซ่นสรวงใดๆทั้งนั้นขอแต่น้ำบูชาถ้วยเดียวก็พอใจแล้ว
จะอยู่รักษาองค์พระธาตุไปจนกว่าจะหมดสิ้นศาสนาพระสมณโคดม”

เรื่องพญานาคราชเข้าประทับทรงนี้เกิดขึ้นในยุคที่พระเดชพระคุณท่านพระธรรมราชานุวัตร
(แก้ว กนฺโตภาโส ป.ธ. ๖ , น.ธ.เอก ) เป็นเจ้าอาวาสวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร (พ.ศ.๒๔๘๐-๒๔๕๓ )
พระเดชพระคุณองค์นี้ลูกศิษย์ลูกหาและประชาชนทั่วไปมักเรียกท่านว่า “ท่านพ่อ”
ซึ่งเป็นคำยกย่องของศิษยานุศิษย์และประชาชนบ้านได้ถวายนามนี้ให้กับท่านพ่อพระธรรมราชานุวัตร
ท่านเกิดเมื่อปี ๒๔๕๐ บรรพชาเป็นสามเณรและอุปสมบทเป็นพระภิกษุที่วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร
เมื่อปี พ.ศ.๒๔๗๑ มีนามเดิมว่าแก้ว อุทุมมาลา มีชาติภูมิใกล้ๆกับพระธาตุพนมนี้เอง
ศึกษาทางธรรมได้เปรียญ ๖ ประโยค ได้เป็นเจ้าอาวาสเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๐ ท่านเป็นผู้มีความรู้
และชอบค้นคว้าวิชาโบราณคดีประวัติศาสตร์จนได้รับขนานนามว่า นักปราชญ์แห่งลุ่มน้ำโขง
ท่านได้ทำนุบำรุงวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหารและให้เจริญก้าวหน้าอย่างมากมาย
ในปี พ.ศ. ๒๔๙๙ ท่านได้ก่อตั้งสำนักวิปัสสนากรรมฐานขึ้นที่วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร
และได้ส่งพระภิกษุสามเณรและแม่ชีไปศึกษาวิปัสสนากรรมฐานจากหลายสำนัก
ได้ฝึกพระภิกษุสามเณรในวัดอยู่เสมอ ๆ
ในเรื่องการนั่งประทับทรงเกี่ยวกับพญานาคนี้ท่านพ่อเคยกล่าวว่า
“ฉันเป็นคนชอบค้นคว้า และพิสูจน์เรื่องลึกลับต่าง ๆ อยู่เสมอไม่ค่อยจะเชื่ออะไรง่าย ๆ
แต่เรื่องพญานาคทั้งเจ็ดองค์เข้าทรงที่วัดนี้นะเป็นเรื่องมหัศจรรย์มากอยู่ทีเดียว
ส่วนใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อนั้นเป็นเรื่องของส่วนบุคคล”
ต่อมาพญานาคก็เข้าประทับทรงสามเณรทรัพย์เรื่อย ๆ เป็นต้นว่าแสดงธรรมสั่งสอน
เมื่อทางวัดมีเรื่องเดือดร้อนก็บอกได้ล่วงหน้าอย่างแม่นยำและแนะแนวทางแก้ไข
ท่านพ่อฯเริ่มเอาใจใส่อยากจะพิสูจน์ให้เห็นแจ้งจึงได้ให้พระวิปัสสนาธุระในวัดนั่งทางใน
ตรวจสอบด้วย “ตาญาณ” ในขณะที่พญานาคเข้าประทับทรงร่างของสามเณรทรัพย์
ครั้นแล้วก็ได้พบมาณพรูปงามแต่งองค์ทรงเครื่องคล้ายเจ้าฟ้ามหากษัตรย์จำนวน ๗ องค์
ปรากฏร่างทิพย์ มีรัศมีกายสีสันสวยงามต่าง ๆ กันเช่น สีน้ำเงิน สีเขียวนิลสีเขียวอ่อน สีเหลือง
สีชมพู สีแสด และสีขาวองค์ที่กำลังเข้าประทับทรงสามเณรทรัพย์เป็นสง่า
หาได้แทรกซ้อนอยู่ในร่างคนทรงแต่อย่างใดไม่
พระวิปัสสนาผู้มีตาฌาณหรือทิพยจักษุรู้สึกประหลาดใจได้ไต่ถามทักทายทางใน
โดยไม่ผ่านทางร่างของสามเณรทรัพย์ “ท่านทั้งเจ็ดองค์เป็นใคร ? มาจากไหน ? มีนามว่าอะไร ?"
พระวิปัสสนาผู้มีตาฌาณหรือทิพยจักษุรู้สึกประหลาดใจได้ไต่ถามทักทายทางใน
โดยไม่ผ่านทางร่างของสามเณรทรัพย์ “ท่านทั้งเจ็ดองค์เป็นใคร ? มาจากไหน ? มีนามว่าอะไร ?"
ร่างทิพย์ที่มีกายสีน้ำเงินตอบไพเราะเปี่ยมเมตตาว่า
“หม่อม ฉันมีนามว่าพญาสัทโทนาคราชเจ้าเป็นหัวหน้า หรือประธานหมู่คณะ
องค์ถัดไปที่มีสีเขียวนิลคือพญาศีลวุฒินาโค
องค์สีเขียวอ่อนคือพญาหิริวุฒินาโค
องค์สีเหลืองคือพญาโอตตัปปะวุฒินาโค
องค์สีชมพูคือพญาพาหุสัจจะวุฒินาโค
องค์สีแสดคือพญาจาคะวุฒินาโค
องค์สีขาวคือพญาปัญญาเตชะวุฒินาโค
มาจากสระอโนดาตในเทือกเขาหิมาลัยพระอินทราธิราชเจ้าบนสวรรค์
ทรงมีบัญชาให้มาเฝ้ารักษาองค์พระธาตุพนมด้วยว่าพวกเทพยดาที่เคยรักษาที่นี่อยู่ก่อน
มีนิสัยไม่ดี อาศัยแต่อามิสของชาวบ้านเครื่องเซ่นสรวง หมูเห็ดเป็ดไก่ เหล้ายาปลาปิ้ง
เป็นที่อับอายขายหน้าแก่คนต่างศาสนาทำให้พระพุทธศาสนามัวหมอง
หม่อมฉันจึงได้ขับไล่พวกเทพยดาชั่วช้าเหล่านั้นให้หนีไปแล้วเข้ารักษาองค์พระธาตุพนม”
พระวิปัสสนาธุระผู้มีทิพยจักษุพอใจในคำตอบมากจึงออกจากฌาณสมาธิ
แล้วคลานเข้ามากระซิบที่หูท่านพ่อฯ แล้วบอกว่าลองสอบถามสามเณรทรัพย์ดัง ๆ
เพื่อให้ได้ยินกันทั่ว ๆ ในหมู่ผู้เข้าสังเกตการณ์ในวันนั้นซึ่งจำนวนมากว่า
“ท่านเป็นใคร? ” มาจากไหน ? มีนามว่าอะไร ?”
ปรากฏว่าสามเณรทรัพย์ที่ถูกประทับทรงตอบได้ถูกต้อง
ตรงกันกับที่พระวิปัสสนาจารย์ได้ไต่ถามทางตาในหรือทิพยจักษุทุกประการ
เป็นที่น่าพอใจของท่านพ่อฯ มาก และเริ่มจะเชื่อมาบ้างแล้วจึงได้สอบถามต่อไปอีกว่า
“ พระองค์เป็นพญานาคราชเจ้ามาปรากฏในที่นี้เหตุไฉนจึงแปลงร่างเป็นเทพบุตรมา
จะให้เชื่อได้อย่างไรว่าเป็นพญานาคราชจริง”
ร่างสามเณรที่ประทับทรงหัวเราะน้อย ๆก่อนตอบอย่างไพเราะว่า
“ ที่ไม่ปรากฏกายเป็นพญานาคมาก็เปรียบเสมือนคนเราได้เห็นผ้าขาดย่อมจะไม่สวยงามตา
อันว่าสภาพร่างกายของพญานาคนั้นย่อมจะเป็นที่น่าสะพรึงกลัวไม่งามตาสำหรับมนุษย์มิใช่หรือท่านเจ้าคุณ”
ท่านพ่อฯ พอใจในคำตอบอันคมคายนี้แล้วได้ถามต่อไปว่า
“ พระองค์เฝ้ารักษาองค์พระธาตุพนมนี้ เฝ้าอย่างไร? ”
พญานาคราชตอบว่า
“หม่อมฉันพญาสัทโทนาคราชเจ้ารักษาองค์พระธาตุพนมด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
พญาศีลวุฒินาโคและพญาหิริวุฒินาโครักษาด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้
พญาโอตตัปปะวุฒินาโคและพญาพาหุสัจจะวุฒินาโครักษาด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้
พญาจาคะวุฒินาโคและพญาปัญญาเตชะวุฒินาโครักษาด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือ”
“พระองค์ทรงอยู่กินหลับนอนอย่างไร” ท่านพ่อถามต่ออีก


“พวกหม่อมฉันมีทิพยวิมานอยู่ใต้องค์พระธาตุนี้เองจะเรียกว่าอยู่ใต้บาดาลก็ได้
เป็นทิพยวิมานที่สวยงามมาก มีสระน้ำ มีสวนดอกไม้มีภูเขาเงิน ภูเขาทอง
ว่าง ๆ นิมนต์ท่านเจ้าคุณลงไปชมดูก็ได้ผู้ใด้สมาธิทางสมถวิปัสสนา
ได้สมาธิแก่กล้าดับพละได้แม้เพียงห้านาทีก็สามารถจะเห็นพวกหม่อมฉันได้ทางฌาณ
ท่านเจ้าคุณก็ดับพละได้มิใช่หรือ ? ” ร่างทรงสามเณรตอบ
ท่านพ่อ ถามต่อไปอีกว่า
“ พระองค์จะให้หม่อมฉันเข้าใจว่าที่พระธาตุพนมนี้เป็นสวรรค์ชั้นฟ้าชั้นจาตุมหาราชิกากระนั้นหรือ ”
“ ถูกต้องแล้วเมื่อสร้างองค์พระธาตุพนมเสร็จพญาทั้ง ๕ นครผู้สร้างได้กลับบ้านกลับเมือง
และพระมหากัสสปะเถระเจ้าพร้อมด้วยพระอรหันต์ทั้งห้าร้อยองค์ได้เสด็จกลับชมพูทวีป
ด้วยอธิษฐานจิตอภิญญาแล้ว พระอินทราธิราชเจ้าได้ทรงแต่งตั้งให้เทวดามีชื่อเป็นหัวหน้า
พากันอยู่ปกปักรักษาองค์พระธาตุพนมพร้อมบริวารจำนวนสี่พันหกพระองค์
และมเหศักดิ์หลักเมืองอีกสามพระองค์ เมื่อที่ไหนมีเทพยดามาสิงสถิตอยู่
ที่นั่นจะต้องมีสวรรค์วิมานสำหรับให้เทพยดาอยู่เป็นธรรมดาเมื่อพวกหม่อมฉันมาถึงที่นี่
เพื่อรับหน้าที่แทน ได้ขับเทพยาดาเหล่านั้นไปหมดแล้วสภาวะทิพย์หรือประสาทวิมานสวรรค์ชั้นฟ้า
ของพวกเทพยดาก็สลายไปโดยอัตโนมัติ คือว่าสภาวะทิพย์ของเทพยดาทั้งหลาย
ย่อมเกิดขึ้นด้วยบุพฤทธิ์ ไม่ใช่มีขึ้นอยู่ก่อนแล้วอย่างพวกหม่อมฉันนี้พอมาถึงที่นี่
สภาวะทิพย์ด้วยบุญฤทธิ์ก็เนรมิตทิพย์วิมานใต้บาดาลอยู่ภายใต้องค์พระธาตุพนมให้เลยทีเดียว ”
พญาสัทโทนาคราชเจ้า ทรงให้อรรถาธิบายผ่านร่างทรงท่านพ่อฯ พอใจมากจึงถามต่อไปอีกว่า
“ พระองค์เป็นพญานาคราชเจ้าอยู่ในบาดาลหรือใต้ดินนี้หายใจได้อย่างไร? ”
“ทารกในครรภ์มารดาหายใจได้ ตัวด้วงในไม้หายใจได้ไส้เดือนในดินหายใจได้อย่างไร
หม่อมฉันก็หายใจได้อย่างนั้นดุจเดียวกัน”
ร่างทรงตอบ ท่านพ่อถามต่อไปว่า
“สามเณรทรัพย์ผู้นี้มีศีลบริสุทธิ์มีฌาณสมาธิแก่กล้า ขณะเข้าฌานตรวจสอบในวันแรก
ได้พบพระองค์ที่ลานพระธาตุนั้นเหตุไฉนพระองค์จึงเข้าประทับทรงร่างสามเณรผู้กำลังอยู่ในฌาณได้หม่อมฉันสงสัย”
“ผู้มีฌานแก่กล้ามีศีลบริสุทธิ์อย่างสามเณรน้อยรูปนี้ วิญญาณผีปิศาจเข้าสิงเข้าทรงไม่ได้หรอก
แต่สำหรับวิญญาณชั้นสูงคือ เทพพรหมแล้วละก็สามารถจะเข้าประทับทรงได้ด้วยสาเหตุสองประการ
คือหนึ่งเข้าเพราะมีกรรมเก่าพัวพันมาก่อนในอดีตชาติ สองเข้าเพื่อเจตนาจะมาสร้างกุศลผลบุญ
ทำความดีไว้ในโลกมนุษย์หม่อมฉันเข้าประทับทรงสามเณรน้อยรูปนี้ก็ด้วยเหตุประการหลัง
คือต้องการติดต่อกับท่านเจ้าคุณ เพื่อแจ้งประสงค์ให้ทราบว่า พวกหม่อมฉันทั้ง ๗ นี้
นอกจากจะมีหน้าที่รักษาองค์พระธาตุพนมแล้วยังมีจิตเมตตาใคร่ที่จะช่วยบำบัดทุกข์
ทั้งกายและทางใจให้แก่มนุษย์ทุกเพศทุกวัยไม่เลือกชาติไม่เลือกศาสนา” ร่างทรงกล่าว
“ พระองค์จะให้หม่อมฉันช่วยอะไรบ้าง ” ท่านพ่อฯ ถาม
“ท่านเจ้าคุณจะต้องเป็นประธานในการประทับทรงทุกครั้งไปผู้ที่จะเป็นร่างทรงคือสามเณร
หรือแม่ชีผู้มีศีลบริสุทธิ์เท่านั้น ฆราวาสไม่เอา ประชาชนที่จะมาบำบัดทุกข์ทั้งกายและใจนี้
จะต้องทำบัญชีรายชื่อไว้เป็นหลักฐานเหมือนทะเบียนประวัติคนไข้ตามโรงพยาบาล
แล้วจากนั้นนำคนมีทุกข์ที่ได้ลงชื่อเสียงเรียงนามแล้วมาให้หม่อมฉันตรวจสอบอาการดู
ว่าเขาเจ็บไข้ได้ป่วยอะไรกันแน่ ถ้าเป็นโรคภัยไข้เจ็บทางกายก็จะได้สั่งยาให้กิน
เช่นยาไทย ยาจิต ยาฝรั่ง หรือสมุนไพรที่มีอยู่ตามเรือกสวนไร่นา
แต่ถ้าเป็นประเภทโรคจิตฟั่นเฟือน มึนซึมกระทือ เป็นบ้าใบ้ เสียจริต
มึนงงหลงใหลหวาดกลัวร้องไห้ หัวเราะ ใจคอหงุดหงิด จิตไม่เที่ยง ฝันร้ายนอนสะดุ้ง
คิดมากปวดหัวมัวตานาน ๆ ต้องคุณผี คุณคนทำ ผีเข้าเจ้าสิง เป็นโรคลมต่าง ๆ
ไข้หนาว ๆ ร้อนๆ เจ็บท้อง เจ็บหน้าอก ง่อยเปลี้ยเสียขา ตามืดบอด ปวดหลังปวดเอว
สัตว์พิษกัดต่อยอะไรเหล่านี้จะต้องรักษากันด้วยน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์และจิตอำนาจเทวฤทธิ์ ”
“สาธุเป็นพระมหากรุณาของพระองค์ยิ่งล้นพ้นที่ทรงมีจิตคิดเมตตาต่อมนุษย์
ผู้มีทุกข์ทั้งหลายในโลกนี้หม่อมฉันพร้อมแล้วที่จะปฏิบัติตามประสงค์ทุกประการ”
ท่านพ่อฯกล่าวด้วยบังเกิดความเชื่อมั่นแน่แล้วว่าวิญญาณที่ประทับทรงร่างสามเณรทรัพย์นี้
คือพญานาคราชเจ้าผู้มีอิทธิฤทธิ์บารมีในทางสัมมาทิฎฐิ เป็นเทพเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์รับบัญชาการจากพระอินทราธิราช
“พระองค์ต้องการจะให้มีเครื่องเซ่นสรวงบูชาอะไรบ้างหรือเปล่า”
“เครื่องเซ่นสรวงบูชาไม่เอาขายหน้าชาวต่างชาติต่างศาสนาเขา
ทำให้พระพุทธศาสนามัวหมอง หม่อมฉันขอน้ำเปล่าสักถ้วยหนึ่งก็พอแล้ว
ด้วยว่าน้ำนี้เป็นสภาวะของพวกนาคราช คือต้องอาศัยน้ำเป็นสื่อปัจจัย
ถ้าใครผู้ใดมีจิตรำลึกถึงต้องการจะติดต่อด้วยกับหม่อมฉัน
ก็ขอให้ตั้งถ้วยน้ำขึ้นแล้วลอยด้วยดอกมะลิหอม จุดธูปเจ็ดดอกกล่าวอัญเชิญ
ก็จะสามารถส่งกระแสจิตติดต่อกันได้ทันที” พญาสัทโทนาคราชเจ้ากล่าว

นี้คือค้นเหตุความเป็นมาแรกเริ่มเดิมที่จะจัดให้มีการประทับร่างทรง
พญานาคทั้ง๗ องค์ขึ้นที่วัดพระธาตุพนม ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๐๐ เป็นต้นมา
ท่านพ่อพระธรรมราชานุวัตร ได้กล่าวอยู่เสมอว่าพระมหาเจดีย์พระธาตุพนมอันศักดิ์สิทธิ์
เก่าแก่อายุกว่า ๒๕๐๐ ปีองค์นี้เป็นที่รวมชีวิตจิตใจของชาวภาคอีสาน
และพี่น้องฝั่งลาวทั่วประเทศ เวลามีงานเทศกาลประจำปีจะมีพุทธศาสนิกชน
ทั้งสองฟากฝั่งแม่น้ำโขงมานมัสการเป็นแสน ๆ มีจำนวนไม่น้อยที่มาขอน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์
ของพญานาคทั้ง ๗ ไปกินไปทารักษาโรคภัยไข้เจ็บจนหายเป็นปกติดี
เป็นที่เรื่องลือในเรื่องความมหัศจรรย์บ้างก็มาขอหยูกยา บ้างก็มาขออาบน้ำมนต์
บ้างก็มาขอบูชาพระเครื่องที่พญานาคทั้ง ๗ ปลุกเสก
“ให้เอาน้ำใสสะอาดใส่เอาผ้าขาวสะอาดหุ้มปากให้แน่น
แล้วยกเข้าไปตั้งไว้ติดโคนฐานองค์พระธาตุพนมภายในกำแพงแก้ว
เก็บไว้ในที่นั้นอย่างน้อยหนึ่งคืน เพื่อให้ท่านเสกคาถาเทวฤทธิ์
วันรุ่งขึ้นก็เอาออกมาใส่หม้อน้ำมนต์ที่อยู่ในกุฏิของท่านเมื่อใครเป็นอะไรให้มาขอก็ให้ไป”
สำหรับไหพระธาตุนี้ เมื่อคราวพระธาตุพนมพังทลายปี ๒๕๑๘
ไหน้ำมนต์พระธาตุตั้งอยู่ในบริเวณกำแพงแก้วชั้นที่ ๒ ห่างจากองค์พระธาตุพนมประมาณ ๓ เมตร
อยู่ในท่ามกลางอิฐซึ่งพังลงมาทับถมอยู่รอบ ๆ ไม่ได้รับความเสียหายแม้แต่น้อยยังคงไว้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์เช่นเดิม
นอกจากการเสกน้ำมนต์รักษาคนไข้แล้วพญานาคราชเจ้า ที่ประทับทรงสามเณรยังรักษาคนที่ป่วย
เป็นนิ่วให้ด้วยโดยการใช้พลังเทวอำนาจสูบนิ่วออกมาให้เห็นกับตาคนป่วยเป็นพันราย
หายจากการทรมานจากโรคนิ่วโดยวิธีนี้

วิธีการรักษาก็คือขั้นแรกจะต้องทำพิธีอัญเชิญพญานาคราชเจ้าทั้ง ๗ องค์มาชุมชนเสียก่อน
ต่อจากนั้นสามเณรก็จะเข้าสมาธิจิตติดต่อเข้าเฝ้าพญานาคราชเจ้าทั้งเจ็ด
ตอนนี้เองพญานาคราชองค์ใดองค์หนึ่งจะเข้าประทับทรงร่างสามเณร
ท่านพ่อฯซึ่งเป็นประธานในการประทับทรงนี้จะให้คนไข้ที่เป็นนิ่วเข้ามา
นั่งหน้าแท่นพุทธบูชาห่างจากสามเณรประมาณ ๑ วา
โดยมีพระผู้เชี่ยวชาญวิปัสสนาธุระอีกรูปหนึ่งนั่งอยู่ห่าง ๆ
หลับตาทำสมาธิคอยตรวจสอบเหตุการณ์ เมื่อพญานาคเข้าประทับทรงสามเณรแล้ว
พญานาคจะบอกให้คนไข้นั่งตามสบาย เพื่อให้ท่านตรวจหาก้อนนิ่วในท้อง
และโรคภัยอื่น ๆ ที่อาจมีแอบแฝงอยู่ ใช้เวลาตรวจสอบประมาณ ๑ นาที
ก็สามารถจะบอกได้ว่าในท้องมีนิ่วกี่ก้อน จากนั้นก็ให้คนไข้อ้าปากขึ้น
สักครู่เดียวพญานาคราชเจ้าจะดูดเอาก้อนนิ่วในท้องออกมา แล้วพ่นออกจากปาก
(ปากของสามเณรโดยก้อนนิ่วนี้จะมาเข้าปากสามเณรที่ถูกประทับทรงก่อนแล้วจึงพ่นออกมาอีกที)
พระผู้เชียวชาญวิปัสสนาธุระ หลับตาทำสมาธิจิตคอยตรวจสอบเหตุการณ์อยู่ตลอดเวลาบอกว่า
“ขณะที่คนไข้เป็นนิ่วอ้าปากอยู่นั้นมองเห็นกายทิพย์ของมนุษย์ร่างหนึ่งมีขนาดโตเท่านิ้วก้อย
มีรัศมีสุกปลั่งเหมือนประกายดาวบนฟ้าได้ลอยพุ่งออกจากร่างสามเณร เลื่อนไหลเข้าไปในปากคนไข้
แล้วก็กลับออกมาเข้าร่างสามเณรอย่างเดิมจากนั้นก็เห็นสามเณรพ่นก้อนนิ่วออกจากปาก”
ต่อมาพญานาคราชเจ้าได้เข้าประทับทรงทำการักษาโรคใช้ชาวบ้านอย่างพิสดารมหัศจรรย์
นั่น คือ รักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว หรือลูคีเมียด้วยการสูบเลือดให้ออกจากร่างคนไข้
พ่นออกมาทางร่างประทับทรงลงกระโถนแล้วเติมเลือดบริสุทธิ์ให้ด้วยสภาวะทิพย์
ปรากฏว่ารักษาคนไข้ที่เป็นโรคมะเร็งของเม็ดเลือดขาวด้วยวิธีนี้หายเป็นปกติ
มีอายุยืนยาวต่อไปหลายรายเป็นที่เลื่องลือ
พญานาคราชเจ้าที่เข้าประทับทรงสามเณรเพื่อรักษาโรคนั้น
นอกจากรักษาโดยการสูบนิ่วออกจากคนไข้แล้ว
ยังสามารถรักษาคนที่ถูกผีกระทำคนมีวิชาอาคมกระทำอีกด้วย
เช่น สูบตะปูขนาด ๓ นิ้ว ๓ ดอก ออกจากคนไข้รายหนึ่ง
อีกรายหนึ่งได้สูบเอากระดูกผียาวประมาณคืบศอกออก
บางรายก็สูบเอาเส้นผมผีตายท้องกลมบ้าง ก้อนกรวดบ้าง
ด้ายมัตตาสังข์ คางคกตายซากเศษกระดูก ของมีคมและอะไรต่อมิอะไร
อีกหลายอย่างซึ่งสิ่งของ ท่านพ่อฯได้เก็บไว้ให้คนที่รักษาเป็นบางส่วน
ที่เก็บไว้ก็มีไม่ได้มาก เช่น เนื้อควายสด ๆ เปลวหมูดิบ ๆ หนังควาย คุณไสยสด ๆ
ประเภทนี้เมื่อสูบออกจากท้องจะมีขนาดเท่าหัวแม่มือเท่านั้น
แต่สักประเดี๋ยวก็จะเกิดอาการสั่นกระดุกกระดิกคล้ายสิ่งมีชีวิตและขยายตัวโตขึ้น ๆ
เอาไปชั่งดูปรากฏว่าน้ำหนัก ๓ - ๔ กิโลกรัมก็มี ต้องให้ศิษย์วัดเอาไปฝังในป่าช้า
ท่านพ่อฯบอกว่าพวกคุณไสยนี้เป็นวิชาลึกลับร้ายกาจของพวกเขมรและอิสลาม
พญานาคราชเจ้าท่านบอกว่าตรวจเห็นได้ง่ายกว่าอย่างอื่น เพราะเป็นวัตถุที่มีอยู่ในโลก
แต่ถ้าเป็นวิญญาณผีร้ายประเภทต่าง ๆ เข้าสิงในร่างแล้ว จะมองเห็นเป็นจุดดำ ๆ
หลบซ่อนอยู่ในร่างกายคนไข้ที่โน่นที่นี่ต้องสำทับสั่งให้ปรากฏร่างมันถึงจะแสดงตัวเป็นรูปร่างให้เห็น
พญานาคจะสั่งให้มันออกจากร่างคนไข้ ผีบางตัวก็ยอมโดยดีด้วยความกลัว
แต่ผีบางตัวดุร้ายมีฤทธิ์ไม่ยอมออกง่าย ๆ ผีประเภทนี้พญานาคราชเจ้า
ท่านเพียงแต่คอยยืนกำกับสั่งการให้ร่างทรงปราบเองโดยบอกคาถาปราบให้บ้าง
ซึ่งคนไข้เหล่านี้เมื่อวิญญาณผีออกจากร่างไปก็จะหายเป็นปกติ
การรักษาคนไข้ของพญานาคราชเจ้าด้วยการเข้าประทับทรงนี้
ส่วนมากหายขาดจากโรงภัยได้อย่างมหัศจรรย์แต่ก็มีหลายรายเหมือนกันที่ไม่รอด
เพราะถึงคราวที่ต้องตายไปตามวิบากกรรมของตน รายไหนจะไม่รอด
พญานาคราชเจ้าจะตรัสผ่านทางร่างประทับทรงว่าคนไข้รายนี้อาการหนักนะท่านเจ้าคุณ
ถ้าท่านบอกอย่างนี้ก็แปลว่าแย่ไม่มีทางรักษาได้นอกจากจะผ่อนหนักเป็นเบา
เช่นกำหนดคงจะตายภายในสามวันหรือเจ็ดวันแต่พ่อแม่หรือลูกหลานอยู่ไกลยังมาไม่ถึง
อยากเห็นหน้าอยากจะสั่งเสียอะไรเหล่านี้พญานาคราชเจ้าก็พอจะช่วยต่ออายุให้ได้บ้างตามสมควรแก่กรณี...

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น