วันอังคารที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เลขตัวสุดท้าย ในบัตรประจำตัวประชาชนของทุกคน


เลขตัวสุดท้ายในบัตรประจำตัวประชาชนของทุกคน
สามารถบอกได้ว่าชีวิตของเราจะเป็นอย่างไรบ้าง? แม่นขนาดไหน
ต้องพิสูจน์กัน
ตัวอย่าง : เลขในบัตรประจำตัวประชาชนคือ 5 6485 54823 48 6
เลขตัวสุดท้ายคือเลข 6

เลข 1
แสดงถึงความเด็ดเดี่ยว กล้าทำ กล้าแสดงออก เป็นผู้นำใน
หน้าที่การงานอยู่ในจำพวกแนวหน้า
และบางครั้งถูกคนอื่นมาขอความช่วยเหลือทั้งทรัพย์สินเงินทอง
และคำปรึกษาอยู่ตลอดเวลา
จนทำให้ไม่เป็นตัวของตัวเองเท่าที่ควรแต่หากไม่พอใจใครแล้ว
เขาจะไม่สนใจเลยเด็ดขาด เป็นจำพวกหยิ่งในศักดิ์ศรี ฆ่าได้ หยามไม่ได้
ไม่ยอมก้มหัวเพื่อลดศักดิ์ศรีให้ใคร หากจำเป็นจริง ๆ
ยอมให้ได้เพียงกายเท่านั้น จะมีนิสัยละเอียดอ่อนในเรื่องความรัก
หมดเปลืองเท่าไหร่ก็ยอมเพื่อความรัก
ในอนาคตหากเป็นนักธุรกิจจะประสบความสำเร็จและสามารถทำงานได้ดีทุกแขนง

เลข 2
แสดงถึงความสำเร็จ
ความอบอุ่นจากมิตร-บริวาร
แต่บางครั้งไม่ค่อยมีความเด็ดขาดไปบ้าง เป็นคนที่ไม่ชอบอยู่คนเดียว
หากจะลงทุนทำธุรกิจถ้าได้ร่วมทำกับคนอื่นจะดีกว่าทำคนเดียวจะมีเสน่ห์กับเพศตรงข้าม
เป็นที่รักใคร่ของเหล่าเพื่อนฝูง
แต่บางครั้งจะโดนอิจฉาอยู่บ่อย ๆ เพราะเสน่ห์ดีเกินไป
ตามเลขศาสตร์บ่งบอกว่า หากจะให้ทำงานสำเร็จโด่งดังมีชื่อเสียง
จะต้องทำงานร่วมกับคู่ครองตนเอง วัยกลางคนจะได้มีความสุขกับครอบครัว
ฐานะดีมีความสบายตามลำดับ

เลข 3
แสดงถึงความทุกข์ใจ จะมีปัญหาเรื่องต่าง ๆ ผ่านเข้ามาในชีวิตอยู่เรื่อยๆ
หากจิตใจไม่เข้มแข็งจะทำให้ทุกข์ใจไม่สบายกายอยู่เรื่อยไป
และจะต้องเพิ่มการเอาใจใส่คู่ครองและครอบครัวให้มากกว่าเดิม
ระวังจะมีปัญหากับบุคคลที่ 3 เข้ามาสร้างความแตกแยกในครอบครัว หมายเลข 3 นี้
เป็นเลขแห่งเงารัก เงาร้าง
ถ้าจะลงทุนทำธุรกิจไม่ควรที่จะร่วมหุ้นหรือไว้ใจบริวารให้มากนัก
อย่าเป็นนักบุญให้ผู้อื่นจนเกิดเป็นความทุกข์ให้กับตนเอง
และหากช่วยเหลือใครแล้วจะหวังผลคืนได้ยาก
เพราะหมายเลข 3
เป็นเลขของผู้ให้ๆอย่างเดียว แต่เมื่อผ่านปัญหาทั้งปวงไปแล้วอีกไม่นาน
จะมีความสุขความสบายกับครอบครัว

เลข 4
แสดงถึงเลขแห่งจักรพรรดิ์ จะมีคนคอยเป็นห่วง
จะเป็นที่รักใคร่ของผู้สูงอายุแต่จะมีความเหน็ดเหนื่อยมากอยู่เหมือนกัน เพราะ
คำว่า 'แม่ทัพ' ก็รู้ความหมายอยู่แล้ว
ไม่มีแม่ทัพคนใดไม่มีผลงานแล้วจะได้เป็นแม่ทัพหรอกน่ะ แต่หมายเลข 4
เป็นเลขแห่งความสำเร็จ ความยิ่งใหญ่ ความก้าวหน้า ความท้าทาย
หากจะให้มีความเจริญก้าวหน้าเร็วๆ ก็ต้องกล้าทำกล้าแสดงออก กล้าตัดสินใจ
แต่ระวังจะมีเพศตรงข้ามหลงรัก
และเข้ามาขอสวามิภักดิ์ด้วยและไม่ต้องเป็นห่วงจะทำอะไรก็จะมีคนคอยสรรเสริญเยินยอ
แต่ก่อนที่จะมีการเยินยอก็จะมีการติฉินนินทาก่อน
หากอดทนไม่สนใจไม่แคร์ความรู้สึกของคนอื่นได้ละก็
ชีวิตนี้รวยใจสบายกายอย่างแน่นอน

เลข 5
แสดงถึงเลขแห่งเวทมนต์และเสน่ห์หากับเพศทั่วไป มีความหยิ่งทะนงในตัวเอง

ยอมก้มหัวให้ผู้อื่นได้แค่กายแต่ใจนั้น
ไม่ยอมใคร
เป็นที่ปรึกษาผู้อื่นได้ดีแต่ตนเองยามเดือดร้อน
หาใครช่วยปรึกษาด้วยนั้นช่างยากมาก เพราะหมายเลข 5 จะมีความสบายกาย
แต่ทุกข์ใจอยู่เรื่อยเพราะคิดมากจนเกินเหตุ
และจะเป็นที่รักใคร่ของญาติมิตรหากดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับเอกสารจะประสบความสำเร็จดีมีชื่อเสียง
แต่ไม่ว่างานด้านไหนๆ หมายเลข 5 ทำได้หมด
แต่จะต้องมีเวลาให้กับเรื่องส่วนตัวบ้าง เช่น เรื่องความรัก
อย่าปล่อยให้นานเกินไป
จะได้พึ่งพาอาศัยบุตร-บริวารในภายภาคหน้าจะมีความพอดีกับชีวิต
เกิดความสุขตลอดกาล

เลข 6
แสดงถึงคนที่มีดีอยู่ในตัวแต่ไม่ค่อยยอมนำออกมาใช้ให้เป็นประโยชน์
อย่าปล่อยเวลากับความคิดให้มากนัก หมายเลข 6 เสน่ห์อยู่ที่ 'เงา'
ของตนเอง จะมีคนรักใคร่เอ็นดูทั้งเด็กและผู้ใหญ่
แต่ต้องแต่งตัวให้เกิดจุดเด่นแก่ตนเอง และมีจิตสัมผัสเหนือธรรมชาติ
หากได้นั่งสมาธิบำเพ็ญศีลจะมีบารมีสูง ผู้คนจะรักใคร่เอ็นดู
จะทำอะไรก็ล้วนแต่ประสบความสำเร็จดีทั้งสิ้น หมายเลข 6
ต้องลดโทนเสียงลงอีกเพราะโทนเสียงนั้นบ่งบอกถึงอำนาจ
ความยิ่งใหญ่เกินตัว
ไม่เพราะแก่ผู้ได้ยิน ผู้ใหญ่รักใคร่เอ็นดู สนับสนุนในด้านการงาน
เมื่อเกิดปัญหาใดๆ ตนเองมักจะเอาตัวรอดได้เสมอ จะมี ความสุขในบั้นปลาย

เลข 7
อย่าปล่อยเวลาให้เสียไปกับคนอื่นให้มากนักและอย่ายึดติดอยู่กับที่
เพราะหมายเลข 7 เป็นหมายเลขที่ต้องเดินทางเพื่อทำการค้า เป็นไกด์
หรือทำงานที่ต้องมีการเจรจาอยู่ตลอดเวลาจะทำให้ประสบความสำเร็จ
ระวังจะมีปัญหาเรื่องรักๆ ใคร่ๆ เกิดขึ้นในครอบครัว หรือเรื่องรัก 3
เส้าเกิดขึ้นในชีวิตคู่ ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตคุณ
ก็ไม่ต้องวิตกให้มากนัก เพราะทุกอย่างจะคลี่คลายไปได้ด้วยดี
การเงินถึงจะไม่คล่องบ้างบางครั้ง แต่ก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะหมายเลข 7
เป็นเลขที่ส่งลาภผลอยู่เนืองๆ หากผู้ใดที่ได้หมายเลข 7
และก็ยอมเหนื่อยหน่อยในระยะเริ่มต้น และอีกไม่นานจะมีความสุข
โชคลาภเพิ่มพูน และจะได้รับความสุขกับ มิตร-บริวาร

เลข 8
แสดงถึงคนมีบุญบารมี และวาสนาดี
มีชื่อเสียงให้คนทั้งหลายได้ประจักษ์
แต่ต้องหมั่นเรียนรู้เร่งศึกษาอย่าอยู่นิ่ง กล้าเปิดเผย กล้าทำ
กล้าแสดงออก กล้าตัดสินใจ รีบไขว่คว้าแล้ว
หน้าที่การงานที่ทำจะได้ผลดีเป็นที่พอใจ และผู้ใหญ่จะให้ ความช่วยเหลือ
อย่าหลงใหลมัวเมาในกิเลสตัณหาให้มากนักอ ย่าสนุกจนลืมครอบครัว
แล้วบั้นปลายชีวิตจะมีฐานะดีเป็นที่พอใจของวงศ์ตระกูลมีชื่อเสียงเป็นที่นับถือของคนทั่วไป

เลข 9
แสดงถึงอำนาจ ความยิ่งใหญ่ หากเป็นผู้นำจะเจริญก้าวหน้า
ทำงานด้วยสมองเป็นนักพูด หรือนักบรรยายจะมีชื่อเสียงโด่งดัง
แต่หน้าที่ที่เหมาะคือผู้เผยแพร่ศาสนา
จะมีผู้คนยกย่องสรรเสริญแ ละยังมีจิตสัมผัสเหนือคนทั่วไป
บางครั้งสามารถรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า ใครได้หมายเลข 9
จะเป็นผู้อยู่เหนือลิขิตสวรรค์จะทำอะไรก็สามารถประสบความสำเร็จได้ด้วยตนเอง

เลขบัตรประจำตัวประชาชนทำนายชีวิต



เลขบัตรประจำตัวประชาชนทำนายชีวิต
เลขรหัส บัตรประจำตัวประชาชน นั้นมีทั้งหมด 13 ตัว แต่เราจะเอาเลข 3 ตัวสุดท้ายมารวมกัน คือ การดูเลขคู่ชีวิตท่านว่าเป็นอย่างไรบ้าง?
ตัวอย่าง : เลขในบัตรประจำตัวประชาชน คือ 5 6485 54823 48 6
เลข 3 ตัวสุดท้าย คือ 4+8+6 = 18 แล้วนำ 1+8 = 9
เราจะต้องทำให้เป็นเลขตัวเดียวก่อนทุกครั้ง ถึงจะอ่านคำพยากรณ์ ความหมายของเลขศาสตร์ ตามบัตร ประจำตัวประชาชน มีดังนี้ :-
หมายเลข 1
แสดงถึง ความเด็ดเดี่ยว กล้าทำ กล้าแสดงออก เป็นผู้นำ ในหน้าที่การงานอยู่ในจำพวกแนวหน้า และบางครั้งถูกคนอื่นมาขอความช่วยเหลือ ทั้งทรัพย์สินเงินทองและคำปรึกษาอยู่ตลอดเวลา จนทำให้ไม่เป็นตัวของตัวเองเท่าที่ควร แต่หากไม่พอใจใครแล้ว เขาจะไม่สนใจเลยเด็ดขาด เป็นจำพวกหยิ่งในศักดิ์ศรี ฆ่าได้หยามไม่ได้ ไม่ยอมก้มหัวให้ใครเพื่อลดศักดิ์ศรี หากจำเป็นจริงๆ ยอมให้ได้เพียงกายเท่านั้น จะมีนิสัยละเอียดอ่อนในเรื่องความรัก ยอมหมดเปลืองเท่าไหร่ก็ยอมเพื่อความรัก ในอนาคต หากเป็นนักธุรกิจจะประสบความสำเร็จ และสามารถทำงานได้ดีทุกแขนง

หมายเลข 2
แสดงถึง ความสำเร็จ ความอบอุ่น จากมิตร-บริวาร แต่บางครั้งไม่ค่อยมีความเด็ดขาดไปบ้าง เป็นคนที่ไม่ชอบอยู่คนเดียว หากจะลงทุนทำธุรกิจ ถ้าได้ร่วมทำกับคนอื่น จะดีกว่าทำคนเดียว จะมีเสน่ห์กับเพศตรงข้าม เป็นที่รักใคร่ของเหล่าเพื่อนฝูง แต่บางครั้งจะโดนอิจฉาอยู่บ่อยๆ เพราะเสน่ห์ดีเกินไป ตามเลขศาสตร์บ่งบอกว่า หากจะให้ทำงานสำเร็จ โด่งดังมีชื่อเสียง จะต้องทำงานร่วมกับคู่ครองตนเอง วัยกลางคนจะได้ดี มีความสุขกับครอบครัวตามสภาพ

หมายเลข 3
แสดงถึง ความทุกข์ใจ จะมีปัญหาเรื่องต่างๆผ่านเข้ามา ในชีวิตอยู่เรื่อยๆ หากจิตใจไม่เข้มแข็ง จะทำให้ทุกข์ใจ ไม่สบายกายอยู่เรื่อยไป และจะต้องเพิ่มการเอาใจใส่คู่ครอง และครอบครัวให้มากกว่าเดิม ระวังจะมีปัญหากับบุคคลที่ 3 เข้ามาสร้างความแตกแยกในครอบครัว
(หมายเลข 3 นี้เป็นเลขแห่งเงารัก เงาร้าง)
ถ้าจะลงทุนทำธุรกิจ ไม่ควรที่จะร่วมหุ้นหรือไว้ใจบริวารให้มากนัก
อย่าเป็นนักบุญให้ผู้อื่น จนเกิดเป็นความทุกข์ให้กับตนเอง
และหากช่วยเหลือใครแล้ว จะหวังผลคืนได้ยาก
เพราะหมายเลข 3 เป็นเลขของผู้ให้อย่างเดียว
แต่เมื่อผ่านปัญหาทั้งปวงไปแล้ว อีกไม่นานจะมีความสุข ความสบายกับครอบครัว

หมายเลข 4
แสดงถึง เลขแห่งจักรพรรดิ์ จะมีคนคอยเป็นห่วง จะเป็นที่รักใคร่ของผู้สูงอายุ
แต่จะมีความเหน็ดเหนื่อยมากอยู่เหมือนกัน
เพราะคำว่า "แม่ทัพ" ก็รู้ความหมายอยู่แล้ว
ไม่มีแม่ทัพคนใดไม่มีผลงาน แล้วจะได้เป็นแม่ทัพหรอกน่ะ
แต่หมายเลข 4 เป็นเลขแห่งความสำเร็จ ความยิ่งใหญ่ ความก้าวหน้า ความท้าทาย
หากจะให้มีความเจริญก้าวหน้าเร็วๆ ก็ต้องกล้าทำ กล้าแสดงออก กล้าตัดสินใจ
แต่ระวังจะมีเพศตรงข้ามหลงรัก และเข้ามาขอสวามิภักดิ์ด้วย
และไม่ต้องเป็นห่วง จะทำอะไรก็จะมีคนคอยสรรเสริญเยินยอ
แต่ก่อนที่จะมีการเยินยอ ก็จะมีการติฉินนินทาก่อน
หากอดทน ไม่สนใจ ไม่แคร์ความรู้สึก ของคนอื่นได้ละก็
ชีวิตนี้รวยใจสบายกาย อย่างแน่นอน

หมายเลข 5
แสดงถึง เลขแห่งเวทมนต์และเสน่ห์หากับเพศทั่วไป
มีความหยิ่งทะนงในตัวเอง ยอมก้มหัวให้ผู้อื่นได้แค่กาย แต่ใจนั้นไม่ยอมใคร
เป็นที่ปรึกษาผู้อื่นได้ดี แต่ตนเองยามเดือดร้อนหาใครช่วยปรึกษาด้วยนั้น ช่างยากมาก
เพราะหมายเลข 5 จะมีความสบายกาย แต่ทุกข์ใจอยู่เรื่อย
เพราะคิดมากจนเกินเหตุ แต่จะเป็นที่รักใคร่ของญาติมิตร
หากดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับเอกสาร จะประสบความสำเร็จดี มีชื่อเสียง
แต่ไม่ว่างาน ด้านไหนๆ หมายเลข 5 ทำได้หมด
แต่จะต้องมีเวลาให้กับเรื่องส่วนตัวบ้าง
เช่น เรื่องความรัก อย่าปล่อยให้นานเกินไป
จะได้พึ่งพาอาศัยบุตร-บริวารในภายภาคหน้า
จะมีความพอดีกับชีวิต เกิดความสุขตลอดกาล

หมายเลข 6
แสดงถึง คนที่มีดีอยู่ในตัว แต่ไม่ค่อยยอมนำออกมาใช้ให้เป็นประโยชน์
อย่าปล่อยเวลากับความคิดให้มากนัก เสน่ห์อยู่ที่ "เงา" ของตนเอง
จะมีคนรักใคร่ เอ็นดูทั้งเด็กและผู้ใหญ่ แต่ต้องแต่งตัวให้เกิดจุดเด่นแก่ตนเอง
มีจิตสัมผัสเหนือธรรมชาติ หากได้นั่งสมาธิ บำเพ็ญศีล จะมีบารมีสูง
ผู้คนจะรักใคร่เอ็นดู จะทำอะไรก็ล้วนแต่ประสบความสำเร็จดีทั้งสิ้น
ต้องลดโทนเสียงลงอีก เพราะโทนเสียงนั้น บ่งบอกถึงอำนาจความยิ่งใหญ่เกินตัว
ไม่เพราะแก่ผู้ได้ยิน ผู้ใหญ่รักใคร่เอ็นดู สนับสนุนในด้านการงาน
เมื่อเกิดปัญหาใดๆ ตนเองมักจะเอาตัวรอดได้เสมอ จะมีความสุขในบั้นปลาย

หมายเลข 7
อย่าปล่อยเวลาให้เสียไปกับคนอื่นให้มากนัก และอย่ายึดติดอยู่กับที่
เพราะเป็นเลขที่ต้องเดินทางเพื่อทำการค้า เป็นไกด์
หรือทำงานที่ต้องมีการเจรจาอยู่ตลอดเวลา จะทำให้ประสบความสำเร็จ
ระวังจะมีปัญห

หมายเลข 8
แสดงถึง คนมีบุญบารมี และวาสนาดีมีชื่อเสียง ให้คนทั้งหลายได้ประจักษ์
แต่ต้องหมั่นเรียนรู้ เร่งศึกษา อย่าอยู่นิ่ง กล้าเปิดเผย กล้าทำ กล้าแสดงออก กล้าตัดสินใจ
รีบไขว่คว้า แล้วหน้าที่การงาน ที่ทำจะได้ผลดีเป็นที่พอใจ และผู้ใหญ่จะให้ความช่วยเหลือ
อย่าหลงใหลมัวเมาในกิเลสตัณหาให้มากนัก อย่าสนุกจนลืมครอบครัว
แล้วบั้นปลายชีวิต จะมีฐานะดี เป็นที่พอใจของวงศ์ตระกูล
มีชื่อเสียง เป็นที่นับถือของคนทั่วไป แต่ต้องขยัน

หมายเลข 9
แสดงถึง อำนาจ ความยิ่งใหญ่ หากเป็นผู้นำจะเจริญก้าวหน้า ทำงานด้วยสมอง
เป็นนักพูด หรือนักบรรยาย จะมีชื่อเสียงโด่งดัง
แต่หน้าที่ที่เหมาะ คือ ผู้เผยแพร่ศาสนา จะมีผู้คนยกย่องสรรเสริญ
และยังมีจิตสัมผัสเหนือคนทั่วไป บางครั้งสามารถรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า
จะทำอะไรก็ประสบความสำเร็จได้ด้วยตนเอง
แต่มีข้อเสีย เพราะเป็นเลขแห่งคุณความดี หากทำในสิ่งไม่ดีหรือทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน
จะได้รับผลกรรม ซึ่งจะหนักกว่าผู้อื่นหลายเท่า และจะต้องระวังเรื่องชู้สาวให้มาก
อย่าใจอ่อน จะนำไปสู่ความเดือดร้อน เพราะจะมีเสน่ห์ต่อเพศตรงข้ามและผู้พบเห็น

วันอาทิตย์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ดูนิสัยคน จากเดือนเกิด

ดูนิสัยคน จากเดือนเกิด
มกราคม
o ทะเยอทะยาน จริงจัง อดทน
o ชอบสั่งสอน รักการเรียนรู้ ขยันทำงานตัวเป็นเกลียว
o มีความคิดสร้างสรรค์ ฉลาด เจ้าระเบียบ ทำอะไรเป็นแบบแผนขั้นตอนไม่มีนอกลู่นอกทางแม้แต่น้อย
o อ่อนไหว ช่างคิดรู้วิธีทำให้คนอื่นมีความสุข
o ปกติจะเงียบขรึมถ้าไม่ได้กำลังตื่นเต้น หรือ เข้าสู่ภาวะคับขัน
o สงบเสงี่ยม กระตือรือร้น โรแมนติกแต่ไม่ค่อยยอมแสดงออกเท่าไร
o ห่วงใยใส่ใจคนอื่น แต่ไว้วางใจใครง่ายไปหน่อย
o ติดบ้าน
o ซื่อสัตย์ ขี้อาย
o ไม่ค่อยชอบเข้าสังคม แถมขี้ หึงอีกต่างหาก
กุมภาพันธ์
o ช่างฝัน รักทั้งโลกแห่งความเป็นจริงและโลกแห่งความฝัน
o ไหวพริบปฏิภาณดี ฉลาด หากแต่บุคลิกภาพแปรปรวนไปนิด
o เจ้าอารมณ์ เงียบ ขี้อาย สุภาพ ไม่ค่อยมีความมั่นใจในตัวเอง
o ซื่อสัตย์
o ชอบตั้งเป้าหมายในชีวิต
o รักอิสระเหนือสิ่งอื่นใด
o ขบถได้ง่ายถ้าถูกบีบคั้น แอบก้าวร้าวบ้างบางครั้ง แต่ที่จริงอ่อนไหวมาก เสียใจง่าย ! โกรธก็ง่าย
o ไม่ชอบเรื่องไร้สาระ ชอบคบเพื่อนฝูงใหม่ๆ น่ารักๆ
o รักกิจการงานบันเทิงทุกชนิดโรแมนติกลึกๆ แต่ไม่แสดงออก
o เชื่อถือโชคลาง
o ใช้จ่ายเงินเก่ง
มีนาคม
o มีเสน่ห์ เป็นที่รักของผู้อื่น
o ขี้อาย สงบเสงี่ยม ลึกลับ
o ซื่อตรง เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เห็นอกเห็นใจ รักสันติและความสงบ
o อ่อนโยน ชอบเอาอกเอาใจคนอื่น
o ใจเย็น ไว้ใจได้
o เห็นค่าคนอื่น ใจดี
o เคร่งศีลธรรม แต่ติดนิสัยชอบประเมินคนอื่น
o เจ้าคิดเจ้าแค้น แถมยังเพ้อฝัน ชอบสร้างจินตนาการ
o รักการเดินทาง
o รักการเป็นจุดสนใจ
o ใจเร็วไปนิดถ้าคิดจะลงหลักปักฐานกับใคร
o ชอบตกแต่งบ้านเอง
o มีพรสวรรค์ เรื่องดนตรี รักข้าวของแปลกๆ
o ข้อควรระวังคืออารมณ์หงุดหงิดง่าย
เมษายน
o กระตือรือร้น ไม่ชอบหยุดนิ่งอยู่กับที่
o เข้มแข็งเด็ดขาด แต่กลับใจอ่อนอย่างไม่น่าเชื่อกับคำขอโทษ
o ดึงดูดใจและเป็นที่รักของผู้คน ใจแข็ง
o รักการเป็นจุดสนใจ
o พูดจาฉลาดถนอมน้ำใจทุกฝ่าย
o ชอบปลอบโยน
o มนุษย์สัมพันธ์ดี ชอบเสนอแนะแก้ปัญหาให้คนอื่น
o กล้าหาญ ชอบผจญภัย
o สุภาพเอื้อเฟื้อ แต่เจ้าอารมณ์ ชอบกระตุ้นทั้งตัวเองและคนรอบข้าง
o และขี้หึงมากเช่นกัน
พฤษภาคม
o ดื้อดึง ใจแข็ง กล้าแกร่ง
o ตั้งใจมั่น แรงจูงใจสูง
o หลักแหลม
o โกรธง่าย อารมณ์แปรปรวน
o ชอบการเป็นจุดสนใจ
o นิ่ง ไม่ค่อยแสดงอารมณ์มากนัก
o มีจุดยืนของตัวเอง แข็งนอก อ่อนใน
o มีอิทธิพล แต่ก็มีเสน่ห์
o ชอบปลอบโยนผู้อื่น
o มีระบบระเบียบ เพ้อฝัน ถือโชคลาง
o มีสัมผัสพิเศษ เข้าอกเข้าใจจินตนาการกว้างไกล
o รักการเดินทาง ไม่ชอบอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน ไม่ชอบหยุดนิ่ง
o ทำงานหนัก ความรับผิดชอบสูง แต่สุรุ่ยสุร่ายไปหน่อย
มิถุนายน
o คิดการณ์ไกล หัวก้าวหน้า
o ใจอ่อนกับคนใจดี
o สุภาพ พูดจาเบามีความคิดสร้างสรรค์มากมาย
o อ่อนไหว ชอบคิดค้น เสียตรงที่ขี้ลังเล
o ไม่รักษาเวลา
o สนุกสนาน มีอารมณ์ขัน ชอบเรื่องตลก
o มีทักษะดีในการโต้แย้ง ช่างพูดช่างคุย ชอบฝันกลางวัน
o เป็นมิตร รู้ว่าจะหาเพื่อนได้อย่างไร
o อดทน
o ชอบแสดงออก เสียใจง่าย ชอบแต่งตัว
o ขี้เบื่อ นานๆ จะแสดงอารมณ์ออกมาซักที ถ้าเสียใจต้องใช้เวลานานในการเยียวยา
o ชอบการบริหาร
o หัวรั้น
o ถือคติแปลกๆ ว่าใครประจบประแจงคือศัตรู ส่วนเพื่อนแท้ต้องไม่กลัวที่จะขัดใจ
กรกฎาคม
o อยู่ด้วยแล้วสนุก มีเสน่ห์
o เก็บความลับได้ แต่ยากที่จะเข้าถึงตัวตนที่แท้จริง
o เงียบถ้าไม่มีอะไรตื่นเต้น
o หยิ่งทะนงในตัวเอง ช่างเลือก
o มีความรับผิดชอบ ชอบปลอบโยนคนอื่น
o ซื่อตรง ซื่อสัตย์
o สนใจความรู้สึกคนรอบข้าง
o มีไหวพริบ
o ใจดี ไม่ผูกใจเจ็บใคร
o ไม่ชอบเรื่องไร้สาระทั้งหลาย
o มีอิทธิพลต่อคนอื่นทั้งในด้านร่างกายและจิตใจ
o อ่อนไหว ไม่ไว้วางใจใครง่ายๆ
o ห่วงใยใส่ใจคนอื่น ปฏิบัติต่อคนอื่นอย่างเท่าเทียม เห็นอกเห็นใจ
o แย่ตรงที่ชอบตัดสินคนอื่นเพียงเพราะสิ่งที่สังเกตเอาเอง
o รักการเดินทาง ศิลปะ ดนตรี และวรรณกรรม
o เรียนดี!
o ชอบอยู่คนเดียวเงียบๆ ไม่ชอบความวุ่นวาย
o เสียใจง่ายแถมต้องใช้เวลานานกว่าจะหาย
o ทุ่มเททุกอย่างให้งาน
สิงหาคม
o ชอบเรื่องตลก
o มีเสน่ห์ สุภาพอ่อนโยน
o ใส่ใจคนอื่น
o กล้าหาญไม่เคยกลัวอะไรทั้งสิ้น
o มั่นคงเด็ดเดี่ยว เป็นผู้นำเต็มตัว
o รู้ว่าต้องดูแลปลอบโยนคนอื่นอย่างไร แต่เสียตรงที่เอื้อเฟื้อเกินไป
o มั่นใจตัวเองเกินไป
o เรียกร้องต้องการการยกย่องนับถือมุ่งมั่นแรงกล้าสุดๆ
o แถม โกรธง่ายเกินเหตุ โดยเฉพาะเมื่อถูกแหย่หรือกระตุ้น
o ขี้หึง
o เคร่งศีลธรรม
o หุนหันพลันแล่น
o ความคิดอิสระไม่ค่อยเหมือนใคร
o รักทั้งการเป็นผู้นำและถูกนำ
o ช่างฝัน มีพรสวรรค์เรื่องศิลปะดนตรี และกลไกการป้องกันตัว
o อ่อนไหวเหมือนกันแต่ไม่ค่อยจะอยากยอมรับ ยุ่งเหยิงวุ่นวาย ตลอดเวลา
o โรแมนติค รักใคร่และห่วงใยคนอื่น
o ชอบคบหาเพื่อนฝูงใหม่ๆ
กันยายน
o สุภาพอ่อนโยน ประนีประนอม
o ระวังตัวแจ
o วางขั้นตอนชีวิตอย่างเป็นแบบแผน
o ชอบตอกย้ำจุดอ่อนคนอื่น
o ชอบการวิพากษ์วิจารณ์
o เยือกเย็นและสงบ
o ใจดี เห็นอกเห็นใจคนอื่น
o รอบรู้เรื่องต่างๆ
o ซื่อตรง
o ทำงานเก่ง
o อ่อนไหว
o ช่างคิด
o ความจำดี สนใจใฝ่รู้
o ชอบการแสวงหาความรู้ใหม่ๆ
o มีแรงจูงใจ เข้าอกเข้าใจ
o เก็บความลับอยู่
o รักกีฬากิจกรรมยามว่าง และ การเดินทาง
o ไม่แสดงอารมณ์เสียจนเกือบจะเป็นคนเก็บกด
o ช่างเลือกโดยเฉพาะเรื่องแฟน
ตุลาคม
o รักการพูดคุยเป็นชีวิตจิตใจ
o รักทุกคนที่รักตัวเอง
o รักการเจาะเข้าสู่จุดศูนย์กลางของเรื่องต่างๆ
o มีเสน่ห์
o สุภาพนุ่มนวล
o จิตใจและรูปร่างสวยงาม
o ไม่โกหกเสแสร้ง
o เห็นอกเห็นใจคนอื่น
o ให้ความสำคัญกับเพื่อน ชอบคบหาเพื่อนใหม่อยู่เรื่อย
o เสียใจง่ายก็จริงแต่ไม่ต้องห่วง แป๊บเดียวก็หายเศร้า
o ชอบช่วยเหลือคนอื่น
o ชอบฝันกลางวัน ความคิดบรรเจิด
o มีสัมผัสพิเศษ
o รักการเดินทาง ศิลปะ และวรรณกรรม
o พูดจานุ่มนวล รักและใส่ใจคนอื่น โรแมนติก ขี้หึง
o เป็นห่วงเป็นใย รักความยุติธรรม
o เชื่อคนง่าย เพราะมองโลกสวยงาม
o สูญเสียความเชื่อมั่นง่ายมาก
พฤศจิกายน
o ความคิดล้านแปดเต็มหัว ยากที่จะเข้าถึง คิดการณ์ล้ำหน้า
o โดดเด่นหัวไว ใส่ใจและชอบให้คำแนะนำ
o อยากรู้อยากเห็น
o รู้จักวิธีตะล่อมคุ้ยความลับ
o ชอบคิดอยู่ตลอดเวลา
o พูดน้อยแต่อัธยาศัยดี
o กล้าหาญและเอื้อเฟื้อ
o อดทน หัวรั้น ใจแข็ง ถือคติ ตราบใดที่ยังมีความหวัง ตราบนั้นก็ยังมีหนทางเสมอ
o มีเป้าหมายในชีวิต ไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ
o โกรธยากมากถ้าไม่ถูกยั่วจนถึงขั้นจริงๆ
o ชอบอยู่คนเดียว
o มีแรงจูงใจในตัวเอง โดยไม่สนใจการยอมรับนับถือจากคนอื่น
o มั่นคง เด็ดเดี่ยว
o รักใครรักจริง
o เจ้าอารมณ์
o โรแมนติก แต่ไม่ค่อยสนใจสัมพันธ์จริงจังนัก
o รักบ้าน
o ทำงานหนัก
o มีความสามารถสูง
o ไว้ใจได้
ธันวาคม
o ซื่อสัตย์และเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
o กระตือรือร้นในการแข่งขัน และปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น
o แต่ ไม่ค่อยมีความอดทน
o ทะเยอทะยาน มีอิทธิพลในสังคม
o รักการเข้าสังคมมาก
o รักการได้รับการยอมรับ การเป็นจุดสนใจ
o รักการที่มีคนอื่นมารักตัวเอง
o ซื่อตรงและไว้ใจได้ ไม่เสแสร้ง แต่อารมณ์เสียง่าย
o เกลียดการถูกบีบบังคับ
o รักเรื่องตลก มีอารมณ์ขันและมีเหตุผล

วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

กำเนิด ประวัติ เรื่องราวความเป็นมา พระอุปคุต - คัมภีร์อโศกอวทาน


รื่องราวความเป็นมาของท่าน จากที่ปรากฎอยู่ในคัมภีร์อโศกอวทาน มีกล่าวไว้ว่า พระอุปคุตเถระ ท่านถือกำเนิด มาในตระกูลของพ่อค้า ที่เมืองมถุราซึ่งเป็นเมืองที่ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำยมุนา ท่านมีพี่ชาย 2 คน ส่วนท่านนั้น เป็นคนสุดท้อง มูลเหตุที่ทำให้พระอุปคุตได้บวชนั้น ก็สืบเนื่องมาจาก บิดาของท่าน ได้เคยให้สัญญาไว้กับ พระเถระรูปหนึ่ง คือ พระสาณวาสี ว่าถ้าตนมีลูกชาย ก็จะให้บวชในพระพุทธศาสนา ทีนี้พอมีลูกชายคนแรก ก็ไม่ยอมให้บวช ด้วยอ้างว่าจะต้องเอาไว้ดูแลทรัพย์สิน ในเหย้าเรือน เอาไว้ถ้ามีลูกชายคนที่ 2 เมื่อไร แล้วจะยอมให้บวช แต่พอมีลูกชายคนที่ 2 เข้าจริง ๆ ก็หาเรื่องบิดเบือนอีก ว่ามีความจำเป็น ต้องเอาไว้สำหรับ ทำธุระตามหัวเมือง ขอให้รอไว้มีลูกชายคนที่ 3 แล้วจะต้องบวชให้อย่างแน่นอน

พอ ลูกชายคนที่ 3 ซึ่งมีชื่อว่า “อุปคุต” เกิดมาก็แกล้งทำไม่รู้ไม่ชี้กับสัญญาที่ได้ให้ไว้กับพระเถระ พระเถระท่านเห็นว่า ยังไม่ถึงเวลา ท่านจึงนิ่งไว้ก่อน และก็ไม่ได้ไปทวงถามถึงสัญญานั้น จนกระทั่งอุปคุตโตเป็นหนุ่ม

ตอน นั้นอุปคุตได้มาช่วยบิดาขายเครื่องหอมอยู่ที่ร้านในตลาด ตั้งแต่อุปคุตมาอยู่ที่ร้าน ก็ปรากฎว่า เครื่องหอม ขายดิบขายดี เป็นเทน้ำเทท่า ผู้คนมาซื้อหากันไม่ขาดสาย นี่เป็นธรรมดาของผู้มีบุญไปอยู่ที่ไหน ทรัพย์สิน ก็จะหลั่งไหลมา ด้วยอำนาจแห่งบุญ

เพราะฉะนั้นจึงเชื่อกันว่า ผู้ที่ค้าขาย หากได้บูชาพระอุปคุตเป็นประจำทุกเช้าตอนเปิดร้าน ก็จะทำให้ค้าขายดี มีคนมาซื้อหาไม่ขาดสายทรัพย์สิน ก็จะหลังไหลมาเทมา กิจการเจริญก้าวหน้าเป็นปึกแผ่นมั่นคงตลอดไป

วัน หนึ่งพระสาณวาสีเถระ ได้แวะเข้าไปในร้านที่อุปคุตขายของ และได้กล่าวธรรมกถาให้อุปคุตฟัง ปรากฏว่า อุปคุตฟังแล้ว เกิดสังเวช ได้ดวงตาเห็นธรรม บรรลุโสดาปัตติผล เป็นพระอริยบุคคลชั้นต้น ในพระพุทธศาสนา เมื่อพระสาณวาสีเถระเห็นว่า อุปคุตได้ดวงตาเห็นธรรมแล้ว จึงได้ไปทวงสัญญากับนายพาณิชย์ ผู้เป็นพ่อของอุปคุต “ไหนว่าจะถวายลูกชายคนที่ 3 แก่อาตมา เพื่อให้บวชยังไงล่ะ” พอนายพาณิชย์ถูกทวงถามเช่นนั้น ก็อับจนปัญญา ไม่อาจหาวิธีพูดบ่ายเบี่ยงหลีกเลี่ยงได้อีก จึงตัดสินใจอนุญาตให้อุปคุตออกบวชได้

กิตติศัพท์ขจรขจาย

เมื่ออก บวชแล้ว ท่านพระอุปคุตก็ตั้งใจเจริญกรรมฐาน จนได้บรรลุพระอรหันต์ เป็นพระอริยบุคคลชั้นสูงสุด ในพระพุทธศาสนา และต่อมาท่านพระอุปคุต ก็ได้เป็น พระอาจารย์สอนกรรมฐานที่มีชื่อเสียงโด่งดัง มากที่สุด ในยุคนั้น โดยในคัมภีร์ได้กล่าวว่า ท่านมีพระอรหันต์ผู้เป็นศิษย์อยู่ถึง 18,000 รูป ส่วนสำนักของท่าน ตั้งอยู่ ณ วัดนตภัติการาม ภูเขาอุรุมนท์

ศรัทธาของพระเจ้าอโศก

กิตติศัพท์ ด้านความรู้ความสามารถของท่านได้แพร่สะพัดไป จนทราบถึงพระกรรณของพระเจ้าอโศกมหาราช พระองค์ จึงตั้งพระทัย จะเสด็จไปอาราธนา ท่านพระอุปคุตให้มาโปรดยังกรุง ปาฏลีบุตร

แต่ วิสัยของพระอรหันต์ผู้ยิ่งด้วยอภิญญาเฉกเช่นท่านพระอุปคุตนั้น เพียงแค่พระเจ้าอโศกทรงดำริเท่านั้น ท่านก็ทราบแล้ว จึงได้รีบลงเรือเดินทางมาสู่กรุงปาฏลีบุตรในทันที ฝ่ายพระเจ้าอโศก เมื่อทรงทราบว่า ท่านพระอุปคุต ได้เดินทางมาแล้ว จึงได้โปรดให้ตั้งพิธีต้อนรับ และเสด็จมารับ ท่านพระอุปคุต ด้วยพระองค์เอง อันเป็นตำนาน ที่ปรากฎอยู่ ใน คัมภีร์อโศอวทาน

วันอังคารที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ไม่เชื่ออย่าลบหลู่


คาถาบูชาดวงประจำวันเกิดทั้ง ๗ วัน
๑. เกิดวันอาทิตย์ อะ วิช สุ นุต สา นุส ติ ชื่อคาถาพระนารายณ์และรูปใช้ในทางเมตตามหานิยม สวดวันละ ๖ จบ
๒. เกิดวันจันทร์ อิ ระ ชา คะ ตะ ระ สา ชื่อคาถากระทู้ ๗ แบก ใช้ในทางคงกระพัน สวดวันละ ๑๕ จบ
๓. เกิดวันอังคาร ติ หัง จะ โต โร ถิ นัง ชื่อคาถาฝนเสน่หา ใช้ในทางเมตตามหานิยม สวดวันละ ๘ จบ
๔. เกิดวันพุธกลางวัน ปิ สัม ระ โล ปุ สัต พุท ชื่อคาถาพระนารายณ์เกลื่อนสมุทร ใช้เสกปูนสูญฝี สวดวันละ ๑๗ จบ
๕. เกิดวันพุธกลางคืน คะ พุท ปัน ทู ทัม วะ คะ ชื่อคาถาพระนารายณ์พลิกแผ่นดิน ใช้ทางแก้ความผิด สวดวันละ ๑๒ จบ
๖. เกิดวันพฤหัสบดี ภะ สัม สัม วิ สะ เท ภะ ชื่อคาถา พระนารายณ์ครึ่งไตรภพ ใช้ทางเมตตามหานิยม สวดวันละ ๑๙ จบ
๗. เกิดวันศุกร์ วา โท โณ อะ มะ มะ วา ชื่อคาถาพระนารายณ์ สวาดหิมพานต์ ไช้ทางเมตตามหานิยม สวดวันละ ๒๑ จบ
๘. เกิดวันเสาร์ โส มา ณะ กะ ริ ถา โธ ชื่อคาถาพระนารายณ์ถอดจักร ใช้แก้ถอนคุณไสยศาสตร์ สวดวันละ ๑๐ จบ

วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2552

พระนางลักษมี


คาถาบูชาพระลักษมี

โอม พระลักษมี อิตถีเทวะ เมตตัญจะ มะหาลาโภ

ทุติยัมปิ พระลักษมี อิตถีเทวะ เมตตัญจะ มะหาลาโภ

ตะติยัมปิ พระลักษมี อิตถีเทวะ เมตตัญจะ มะหาลาโภ

บทสวด
โอม ศานตาการัม พุธะคะศะยะนัม ปัททะมะนาภัม สุเรศัม วิศาวาธารัม คะคะนะศะธะรึ ศัม เมฆะวัณณัมสุภางค์คัม ลักษมีการตัม กะมะละนะยะนัม วันเท วิษณุม ภะวะภะยะหะรัม ศันเทวะโลกัยกะนาถัม

เป็นบทสวดที่พราหมณ์โบสถ์เทพมณเฑียรใช้สวดขอพรจากพระแม่ลักษมีและเปนการสรรเสริญพระแม่ลักษมีพร้อมพ่อนารายณ์


อิทธิฤทธิ์ ๗ พญานาคราช มาจากสระอโนดาด เพื่อรักษาพระธาตุพนม


พญานาคราช มาจากสระอโนดาตมีนามตามลำดับเป็นมงคลตามอริยทรัพย์อันประเสริฐ คือ
๑. พญาสัทโทนาคราชเจ้าเป็นประธาน
๒. พญาศีลวุฒินาโค
๓. พญาหิริวุฒนาโค
๔. พญาโอตตัปปะวุฒนาโค
๕.พญาสัจจะวุฒินาโค
๖. พญาจาคะวุฒนาโค
๗. พญาปัญญาเตชะวุฒนาโค
ได้รับบัญชาจากพระอินทราธิราชเจ้าให้มารักษาพระอุรังคธาตุ พระธาตุพนม


ตอน เจ็ดพญานาคราช

เรื่องพญานาคนี้ เกิดขึ้นภายหลังจากที่ท่านเจ้าคุณพระธรรมราชานุวัตร เจ้าอาวาสวัดพระธาตุพนม
ได้ตั้งสำนักวิปัสสนากรรมฐานขึ้นได้ ๑ ปี เหตุเกิดขึ้นเมื่อเวลาประมาณตี ๒ เดือน ๑๑ ขึ้น ๕ ค่ำ พ.ศ. ๒๕๐๐
คืนนั้นฝนตกหนักครึ่งชั่วโมง แล้วตกพรำ ๆ มาอีกกว่า ๒๐ นาที ขณะที่ฝนตกฟ้าร้องดังสนั่นแผ่นดินสะเทือน
นายไกฮวด ชาวตลาดธาตุพนม ได้ออกมารองน้ำฝนที่หน้าร้านของตน เห็นแสงประหลาดเป็นลำงาม
โตเท่าลำต้นตาล ขนาดใหญ่มีสีต่าง ๆ กันถึงเจ็ดสี พุ่งแหวกอากาศแข่งกันเป็นลำยาวหลายเส้น
จากทางด้านทิศเหนือ มองเห็นได้แต่ไกล จึงได้ร้องเอะอะ เรียกภรรยามาดูแสงสีงามประหลาด
น่าสะพรึงกลัวขนหัวลุกนั่น พอมาถึงหน้าซุ้มประตูแสงนั้นก็หายเข้าไปในองค์พระธาตุพนม
เรื่องแสงประหลาดในครั้งนี้เป็นที่โจษจรรย์กันไปทั้งตลาด และข่าวนี้ก็ได้ล่ำลือกันไปถึงในวัด

ต่อมาอีกสองวัน คือวันขึ้น ๗ ค่ำ เดือนเดียวกัน ท่านพระธรรมราชานุวัตรได้ให้สามเณรทรัพย์
นั่งทางในตรวจดูเหตุการณ์ว่า แสงประหลาดเจ็ดสีเท่าลำต้นตาล ที่นายไกฮวดเห็นเข้ามาในวัดนี้
มีความจริงเท็จแค่ไหน สามเณรทรัพย์เจ้าฌานสมาธิอยู่คู่หนึ่ง ก็เข้าไปพบพญานาคราชทั้งเจ็ด
เรียงกันเป็นแถวอยู่บริเวณลานพระธาตุพนม ลำตัวโตใหญ่เท่าลำต้นตาล มีหงอนแดงน่าสะพรึงกลัว
สามเณรทรัพย์ยืนงงงันอยู่ด้วยความประหลาดใจ
พลันประเดี๋ยวเดียวพญานาคทั้ง ๗ ได้กลับกลายเป็นมาณพ ๗ ชาย ทรงเครื่องขาวเรียงกันเป็นแถวอยู่ที่เดิม
จะว่าก้มมิใช่ ยืนก็มิใช่ อากัปกิริยาอยู่ระหว่างยืนกับก้ม สามเณรทรัพย์สนเท่ห์ใจงงจนพูดอะไรไม่ออก
ทันใดมาณพผู้เป็นหัวหน้าได้ร้องถามว่า "พ่อเณรมีธุระอะไร อย่ากลัวจงบอกมา"
สามเณรยืนงงอยู่มิได้ตอบว่ากะไร ตั้งใจจะกลับกุฏิ พญานาคผู้เป็นหัวหน้าได้พูดขึ้นอีกว่า
“พ่อเณรจะกลับแล้วหรือยัง ขอไปด้วย จะไปสนทนากับท่านเจ้าคุณ”
พอขาดคำก็เข้าประทับร่างสามเณรทรัพย์ ทันทีด้วยจิตอำนาจที่เหนือกว่า
สามเณรทรัพย์พลันหมดความรู้สึกวูบไปทันที สักครู่ก็หันมายกมือไหว้
ท่านพระธรรมราชานุวัตร พร้อมกับพูดว่า “สวัสดีท่านเจ้าคุณ หม่อมฉันมาสองคืนแล้วมิรู้หรือ”
ท่านพ่อฯ รู้สึกแปลกใจและสงสัยจึงถามว่า “ท่านเป็นใคร ? มาจากไหน ? " เสียงประทับทรงตอบว่า
“พวกหม่อมฉันเป็นพญานาคราช มาจากสระอโนดาตในเทือกเขาหิมาลัย มีนามตามลำดับเป็นมงคล
ตามอริยทรัพย์อันประเสริฐ คือ
๑. พญาสัทโทนาคราชเจ้า เป็นประธาน ๒. พญาศีลวุฒินาโค ๓. พญาหิริวุฒนาโค
๔. พญาโอตตัปปะวุฒนาโค ๕. พญาสัจจะวุฒินาโค ๖. พญาจาคะวุฒนาโค
๗. พญาปัญญาเตชะวุฒนาโค
หม่อมฉันทั้งเจ็ดได้รับบัญชาจากพระอินทราธิราชเจ้าให้มารักษาพระอุรังคธาตุ
พวกเทพยดาที่รักษาองค์พระธาตุอยู่ก่อนนิสัยไม่ดีอาศัยกินสินบนและเครื่องเซ่นสรวงของชาวบ้าน
พวกหม่อมฉันไม่ต้องการอามิสสินจ้างรางวัลของเซ่นสรวงใดๆทั้งนั้นขอแต่น้ำบูชาถ้วยเดียวก็พอใจแล้ว
จะอยู่รักษาองค์พระธาตุไปจนกว่าจะหมดสิ้นศาสนาพระสมณโคดม”

เรื่องพญานาคราชเข้าประทับทรงนี้เกิดขึ้นในยุคที่พระเดชพระคุณท่านพระธรรมราชานุวัตร
(แก้ว กนฺโตภาโส ป.ธ. ๖ , น.ธ.เอก ) เป็นเจ้าอาวาสวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร (พ.ศ.๒๔๘๐-๒๔๕๓ )
พระเดชพระคุณองค์นี้ลูกศิษย์ลูกหาและประชาชนทั่วไปมักเรียกท่านว่า “ท่านพ่อ”
ซึ่งเป็นคำยกย่องของศิษยานุศิษย์และประชาชนบ้านได้ถวายนามนี้ให้กับท่านพ่อพระธรรมราชานุวัตร
ท่านเกิดเมื่อปี ๒๔๕๐ บรรพชาเป็นสามเณรและอุปสมบทเป็นพระภิกษุที่วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร
เมื่อปี พ.ศ.๒๔๗๑ มีนามเดิมว่าแก้ว อุทุมมาลา มีชาติภูมิใกล้ๆกับพระธาตุพนมนี้เอง
ศึกษาทางธรรมได้เปรียญ ๖ ประโยค ได้เป็นเจ้าอาวาสเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๐ ท่านเป็นผู้มีความรู้
และชอบค้นคว้าวิชาโบราณคดีประวัติศาสตร์จนได้รับขนานนามว่า นักปราชญ์แห่งลุ่มน้ำโขง
ท่านได้ทำนุบำรุงวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหารและให้เจริญก้าวหน้าอย่างมากมาย
ในปี พ.ศ. ๒๔๙๙ ท่านได้ก่อตั้งสำนักวิปัสสนากรรมฐานขึ้นที่วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร
และได้ส่งพระภิกษุสามเณรและแม่ชีไปศึกษาวิปัสสนากรรมฐานจากหลายสำนัก
ได้ฝึกพระภิกษุสามเณรในวัดอยู่เสมอ ๆ
ในเรื่องการนั่งประทับทรงเกี่ยวกับพญานาคนี้ท่านพ่อเคยกล่าวว่า
“ฉันเป็นคนชอบค้นคว้า และพิสูจน์เรื่องลึกลับต่าง ๆ อยู่เสมอไม่ค่อยจะเชื่ออะไรง่าย ๆ
แต่เรื่องพญานาคทั้งเจ็ดองค์เข้าทรงที่วัดนี้นะเป็นเรื่องมหัศจรรย์มากอยู่ทีเดียว
ส่วนใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อนั้นเป็นเรื่องของส่วนบุคคล”
ต่อมาพญานาคก็เข้าประทับทรงสามเณรทรัพย์เรื่อย ๆ เป็นต้นว่าแสดงธรรมสั่งสอน
เมื่อทางวัดมีเรื่องเดือดร้อนก็บอกได้ล่วงหน้าอย่างแม่นยำและแนะแนวทางแก้ไข
ท่านพ่อฯเริ่มเอาใจใส่อยากจะพิสูจน์ให้เห็นแจ้งจึงได้ให้พระวิปัสสนาธุระในวัดนั่งทางใน
ตรวจสอบด้วย “ตาญาณ” ในขณะที่พญานาคเข้าประทับทรงร่างของสามเณรทรัพย์
ครั้นแล้วก็ได้พบมาณพรูปงามแต่งองค์ทรงเครื่องคล้ายเจ้าฟ้ามหากษัตรย์จำนวน ๗ องค์
ปรากฏร่างทิพย์ มีรัศมีกายสีสันสวยงามต่าง ๆ กันเช่น สีน้ำเงิน สีเขียวนิลสีเขียวอ่อน สีเหลือง
สีชมพู สีแสด และสีขาวองค์ที่กำลังเข้าประทับทรงสามเณรทรัพย์เป็นสง่า
หาได้แทรกซ้อนอยู่ในร่างคนทรงแต่อย่างใดไม่
พระวิปัสสนาผู้มีตาฌาณหรือทิพยจักษุรู้สึกประหลาดใจได้ไต่ถามทักทายทางใน
โดยไม่ผ่านทางร่างของสามเณรทรัพย์ “ท่านทั้งเจ็ดองค์เป็นใคร ? มาจากไหน ? มีนามว่าอะไร ?"
พระวิปัสสนาผู้มีตาฌาณหรือทิพยจักษุรู้สึกประหลาดใจได้ไต่ถามทักทายทางใน
โดยไม่ผ่านทางร่างของสามเณรทรัพย์ “ท่านทั้งเจ็ดองค์เป็นใคร ? มาจากไหน ? มีนามว่าอะไร ?"
ร่างทิพย์ที่มีกายสีน้ำเงินตอบไพเราะเปี่ยมเมตตาว่า
“หม่อม ฉันมีนามว่าพญาสัทโทนาคราชเจ้าเป็นหัวหน้า หรือประธานหมู่คณะ
องค์ถัดไปที่มีสีเขียวนิลคือพญาศีลวุฒินาโค
องค์สีเขียวอ่อนคือพญาหิริวุฒินาโค
องค์สีเหลืองคือพญาโอตตัปปะวุฒินาโค
องค์สีชมพูคือพญาพาหุสัจจะวุฒินาโค
องค์สีแสดคือพญาจาคะวุฒินาโค
องค์สีขาวคือพญาปัญญาเตชะวุฒินาโค
มาจากสระอโนดาตในเทือกเขาหิมาลัยพระอินทราธิราชเจ้าบนสวรรค์
ทรงมีบัญชาให้มาเฝ้ารักษาองค์พระธาตุพนมด้วยว่าพวกเทพยดาที่เคยรักษาที่นี่อยู่ก่อน
มีนิสัยไม่ดี อาศัยแต่อามิสของชาวบ้านเครื่องเซ่นสรวง หมูเห็ดเป็ดไก่ เหล้ายาปลาปิ้ง
เป็นที่อับอายขายหน้าแก่คนต่างศาสนาทำให้พระพุทธศาสนามัวหมอง
หม่อมฉันจึงได้ขับไล่พวกเทพยดาชั่วช้าเหล่านั้นให้หนีไปแล้วเข้ารักษาองค์พระธาตุพนม”
พระวิปัสสนาธุระผู้มีทิพยจักษุพอใจในคำตอบมากจึงออกจากฌาณสมาธิ
แล้วคลานเข้ามากระซิบที่หูท่านพ่อฯ แล้วบอกว่าลองสอบถามสามเณรทรัพย์ดัง ๆ
เพื่อให้ได้ยินกันทั่ว ๆ ในหมู่ผู้เข้าสังเกตการณ์ในวันนั้นซึ่งจำนวนมากว่า
“ท่านเป็นใคร? ” มาจากไหน ? มีนามว่าอะไร ?”
ปรากฏว่าสามเณรทรัพย์ที่ถูกประทับทรงตอบได้ถูกต้อง
ตรงกันกับที่พระวิปัสสนาจารย์ได้ไต่ถามทางตาในหรือทิพยจักษุทุกประการ
เป็นที่น่าพอใจของท่านพ่อฯ มาก และเริ่มจะเชื่อมาบ้างแล้วจึงได้สอบถามต่อไปอีกว่า
“ พระองค์เป็นพญานาคราชเจ้ามาปรากฏในที่นี้เหตุไฉนจึงแปลงร่างเป็นเทพบุตรมา
จะให้เชื่อได้อย่างไรว่าเป็นพญานาคราชจริง”
ร่างสามเณรที่ประทับทรงหัวเราะน้อย ๆก่อนตอบอย่างไพเราะว่า
“ ที่ไม่ปรากฏกายเป็นพญานาคมาก็เปรียบเสมือนคนเราได้เห็นผ้าขาดย่อมจะไม่สวยงามตา
อันว่าสภาพร่างกายของพญานาคนั้นย่อมจะเป็นที่น่าสะพรึงกลัวไม่งามตาสำหรับมนุษย์มิใช่หรือท่านเจ้าคุณ”
ท่านพ่อฯ พอใจในคำตอบอันคมคายนี้แล้วได้ถามต่อไปว่า
“ พระองค์เฝ้ารักษาองค์พระธาตุพนมนี้ เฝ้าอย่างไร? ”
พญานาคราชตอบว่า
“หม่อมฉันพญาสัทโทนาคราชเจ้ารักษาองค์พระธาตุพนมด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
พญาศีลวุฒินาโคและพญาหิริวุฒินาโครักษาด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้
พญาโอตตัปปะวุฒินาโคและพญาพาหุสัจจะวุฒินาโครักษาด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้
พญาจาคะวุฒินาโคและพญาปัญญาเตชะวุฒินาโครักษาด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือ”
“พระองค์ทรงอยู่กินหลับนอนอย่างไร” ท่านพ่อถามต่ออีก


“พวกหม่อมฉันมีทิพยวิมานอยู่ใต้องค์พระธาตุนี้เองจะเรียกว่าอยู่ใต้บาดาลก็ได้
เป็นทิพยวิมานที่สวยงามมาก มีสระน้ำ มีสวนดอกไม้มีภูเขาเงิน ภูเขาทอง
ว่าง ๆ นิมนต์ท่านเจ้าคุณลงไปชมดูก็ได้ผู้ใด้สมาธิทางสมถวิปัสสนา
ได้สมาธิแก่กล้าดับพละได้แม้เพียงห้านาทีก็สามารถจะเห็นพวกหม่อมฉันได้ทางฌาณ
ท่านเจ้าคุณก็ดับพละได้มิใช่หรือ ? ” ร่างทรงสามเณรตอบ
ท่านพ่อ ถามต่อไปอีกว่า
“ พระองค์จะให้หม่อมฉันเข้าใจว่าที่พระธาตุพนมนี้เป็นสวรรค์ชั้นฟ้าชั้นจาตุมหาราชิกากระนั้นหรือ ”
“ ถูกต้องแล้วเมื่อสร้างองค์พระธาตุพนมเสร็จพญาทั้ง ๕ นครผู้สร้างได้กลับบ้านกลับเมือง
และพระมหากัสสปะเถระเจ้าพร้อมด้วยพระอรหันต์ทั้งห้าร้อยองค์ได้เสด็จกลับชมพูทวีป
ด้วยอธิษฐานจิตอภิญญาแล้ว พระอินทราธิราชเจ้าได้ทรงแต่งตั้งให้เทวดามีชื่อเป็นหัวหน้า
พากันอยู่ปกปักรักษาองค์พระธาตุพนมพร้อมบริวารจำนวนสี่พันหกพระองค์
และมเหศักดิ์หลักเมืองอีกสามพระองค์ เมื่อที่ไหนมีเทพยดามาสิงสถิตอยู่
ที่นั่นจะต้องมีสวรรค์วิมานสำหรับให้เทพยดาอยู่เป็นธรรมดาเมื่อพวกหม่อมฉันมาถึงที่นี่
เพื่อรับหน้าที่แทน ได้ขับเทพยาดาเหล่านั้นไปหมดแล้วสภาวะทิพย์หรือประสาทวิมานสวรรค์ชั้นฟ้า
ของพวกเทพยดาก็สลายไปโดยอัตโนมัติ คือว่าสภาวะทิพย์ของเทพยดาทั้งหลาย
ย่อมเกิดขึ้นด้วยบุพฤทธิ์ ไม่ใช่มีขึ้นอยู่ก่อนแล้วอย่างพวกหม่อมฉันนี้พอมาถึงที่นี่
สภาวะทิพย์ด้วยบุญฤทธิ์ก็เนรมิตทิพย์วิมานใต้บาดาลอยู่ภายใต้องค์พระธาตุพนมให้เลยทีเดียว ”
พญาสัทโทนาคราชเจ้า ทรงให้อรรถาธิบายผ่านร่างทรงท่านพ่อฯ พอใจมากจึงถามต่อไปอีกว่า
“ พระองค์เป็นพญานาคราชเจ้าอยู่ในบาดาลหรือใต้ดินนี้หายใจได้อย่างไร? ”
“ทารกในครรภ์มารดาหายใจได้ ตัวด้วงในไม้หายใจได้ไส้เดือนในดินหายใจได้อย่างไร
หม่อมฉันก็หายใจได้อย่างนั้นดุจเดียวกัน”
ร่างทรงตอบ ท่านพ่อถามต่อไปว่า
“สามเณรทรัพย์ผู้นี้มีศีลบริสุทธิ์มีฌาณสมาธิแก่กล้า ขณะเข้าฌานตรวจสอบในวันแรก
ได้พบพระองค์ที่ลานพระธาตุนั้นเหตุไฉนพระองค์จึงเข้าประทับทรงร่างสามเณรผู้กำลังอยู่ในฌาณได้หม่อมฉันสงสัย”
“ผู้มีฌานแก่กล้ามีศีลบริสุทธิ์อย่างสามเณรน้อยรูปนี้ วิญญาณผีปิศาจเข้าสิงเข้าทรงไม่ได้หรอก
แต่สำหรับวิญญาณชั้นสูงคือ เทพพรหมแล้วละก็สามารถจะเข้าประทับทรงได้ด้วยสาเหตุสองประการ
คือหนึ่งเข้าเพราะมีกรรมเก่าพัวพันมาก่อนในอดีตชาติ สองเข้าเพื่อเจตนาจะมาสร้างกุศลผลบุญ
ทำความดีไว้ในโลกมนุษย์หม่อมฉันเข้าประทับทรงสามเณรน้อยรูปนี้ก็ด้วยเหตุประการหลัง
คือต้องการติดต่อกับท่านเจ้าคุณ เพื่อแจ้งประสงค์ให้ทราบว่า พวกหม่อมฉันทั้ง ๗ นี้
นอกจากจะมีหน้าที่รักษาองค์พระธาตุพนมแล้วยังมีจิตเมตตาใคร่ที่จะช่วยบำบัดทุกข์
ทั้งกายและทางใจให้แก่มนุษย์ทุกเพศทุกวัยไม่เลือกชาติไม่เลือกศาสนา” ร่างทรงกล่าว
“ พระองค์จะให้หม่อมฉันช่วยอะไรบ้าง ” ท่านพ่อฯ ถาม
“ท่านเจ้าคุณจะต้องเป็นประธานในการประทับทรงทุกครั้งไปผู้ที่จะเป็นร่างทรงคือสามเณร
หรือแม่ชีผู้มีศีลบริสุทธิ์เท่านั้น ฆราวาสไม่เอา ประชาชนที่จะมาบำบัดทุกข์ทั้งกายและใจนี้
จะต้องทำบัญชีรายชื่อไว้เป็นหลักฐานเหมือนทะเบียนประวัติคนไข้ตามโรงพยาบาล
แล้วจากนั้นนำคนมีทุกข์ที่ได้ลงชื่อเสียงเรียงนามแล้วมาให้หม่อมฉันตรวจสอบอาการดู
ว่าเขาเจ็บไข้ได้ป่วยอะไรกันแน่ ถ้าเป็นโรคภัยไข้เจ็บทางกายก็จะได้สั่งยาให้กิน
เช่นยาไทย ยาจิต ยาฝรั่ง หรือสมุนไพรที่มีอยู่ตามเรือกสวนไร่นา
แต่ถ้าเป็นประเภทโรคจิตฟั่นเฟือน มึนซึมกระทือ เป็นบ้าใบ้ เสียจริต
มึนงงหลงใหลหวาดกลัวร้องไห้ หัวเราะ ใจคอหงุดหงิด จิตไม่เที่ยง ฝันร้ายนอนสะดุ้ง
คิดมากปวดหัวมัวตานาน ๆ ต้องคุณผี คุณคนทำ ผีเข้าเจ้าสิง เป็นโรคลมต่าง ๆ
ไข้หนาว ๆ ร้อนๆ เจ็บท้อง เจ็บหน้าอก ง่อยเปลี้ยเสียขา ตามืดบอด ปวดหลังปวดเอว
สัตว์พิษกัดต่อยอะไรเหล่านี้จะต้องรักษากันด้วยน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์และจิตอำนาจเทวฤทธิ์ ”
“สาธุเป็นพระมหากรุณาของพระองค์ยิ่งล้นพ้นที่ทรงมีจิตคิดเมตตาต่อมนุษย์
ผู้มีทุกข์ทั้งหลายในโลกนี้หม่อมฉันพร้อมแล้วที่จะปฏิบัติตามประสงค์ทุกประการ”
ท่านพ่อฯกล่าวด้วยบังเกิดความเชื่อมั่นแน่แล้วว่าวิญญาณที่ประทับทรงร่างสามเณรทรัพย์นี้
คือพญานาคราชเจ้าผู้มีอิทธิฤทธิ์บารมีในทางสัมมาทิฎฐิ เป็นเทพเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์รับบัญชาการจากพระอินทราธิราช
“พระองค์ต้องการจะให้มีเครื่องเซ่นสรวงบูชาอะไรบ้างหรือเปล่า”
“เครื่องเซ่นสรวงบูชาไม่เอาขายหน้าชาวต่างชาติต่างศาสนาเขา
ทำให้พระพุทธศาสนามัวหมอง หม่อมฉันขอน้ำเปล่าสักถ้วยหนึ่งก็พอแล้ว
ด้วยว่าน้ำนี้เป็นสภาวะของพวกนาคราช คือต้องอาศัยน้ำเป็นสื่อปัจจัย
ถ้าใครผู้ใดมีจิตรำลึกถึงต้องการจะติดต่อด้วยกับหม่อมฉัน
ก็ขอให้ตั้งถ้วยน้ำขึ้นแล้วลอยด้วยดอกมะลิหอม จุดธูปเจ็ดดอกกล่าวอัญเชิญ
ก็จะสามารถส่งกระแสจิตติดต่อกันได้ทันที” พญาสัทโทนาคราชเจ้ากล่าว

นี้คือค้นเหตุความเป็นมาแรกเริ่มเดิมที่จะจัดให้มีการประทับร่างทรง
พญานาคทั้ง๗ องค์ขึ้นที่วัดพระธาตุพนม ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๐๐ เป็นต้นมา
ท่านพ่อพระธรรมราชานุวัตร ได้กล่าวอยู่เสมอว่าพระมหาเจดีย์พระธาตุพนมอันศักดิ์สิทธิ์
เก่าแก่อายุกว่า ๒๕๐๐ ปีองค์นี้เป็นที่รวมชีวิตจิตใจของชาวภาคอีสาน
และพี่น้องฝั่งลาวทั่วประเทศ เวลามีงานเทศกาลประจำปีจะมีพุทธศาสนิกชน
ทั้งสองฟากฝั่งแม่น้ำโขงมานมัสการเป็นแสน ๆ มีจำนวนไม่น้อยที่มาขอน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์
ของพญานาคทั้ง ๗ ไปกินไปทารักษาโรคภัยไข้เจ็บจนหายเป็นปกติดี
เป็นที่เรื่องลือในเรื่องความมหัศจรรย์บ้างก็มาขอหยูกยา บ้างก็มาขออาบน้ำมนต์
บ้างก็มาขอบูชาพระเครื่องที่พญานาคทั้ง ๗ ปลุกเสก
“ให้เอาน้ำใสสะอาดใส่เอาผ้าขาวสะอาดหุ้มปากให้แน่น
แล้วยกเข้าไปตั้งไว้ติดโคนฐานองค์พระธาตุพนมภายในกำแพงแก้ว
เก็บไว้ในที่นั้นอย่างน้อยหนึ่งคืน เพื่อให้ท่านเสกคาถาเทวฤทธิ์
วันรุ่งขึ้นก็เอาออกมาใส่หม้อน้ำมนต์ที่อยู่ในกุฏิของท่านเมื่อใครเป็นอะไรให้มาขอก็ให้ไป”
สำหรับไหพระธาตุนี้ เมื่อคราวพระธาตุพนมพังทลายปี ๒๕๑๘
ไหน้ำมนต์พระธาตุตั้งอยู่ในบริเวณกำแพงแก้วชั้นที่ ๒ ห่างจากองค์พระธาตุพนมประมาณ ๓ เมตร
อยู่ในท่ามกลางอิฐซึ่งพังลงมาทับถมอยู่รอบ ๆ ไม่ได้รับความเสียหายแม้แต่น้อยยังคงไว้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์เช่นเดิม
นอกจากการเสกน้ำมนต์รักษาคนไข้แล้วพญานาคราชเจ้า ที่ประทับทรงสามเณรยังรักษาคนที่ป่วย
เป็นนิ่วให้ด้วยโดยการใช้พลังเทวอำนาจสูบนิ่วออกมาให้เห็นกับตาคนป่วยเป็นพันราย
หายจากการทรมานจากโรคนิ่วโดยวิธีนี้

วิธีการรักษาก็คือขั้นแรกจะต้องทำพิธีอัญเชิญพญานาคราชเจ้าทั้ง ๗ องค์มาชุมชนเสียก่อน
ต่อจากนั้นสามเณรก็จะเข้าสมาธิจิตติดต่อเข้าเฝ้าพญานาคราชเจ้าทั้งเจ็ด
ตอนนี้เองพญานาคราชองค์ใดองค์หนึ่งจะเข้าประทับทรงร่างสามเณร
ท่านพ่อฯซึ่งเป็นประธานในการประทับทรงนี้จะให้คนไข้ที่เป็นนิ่วเข้ามา
นั่งหน้าแท่นพุทธบูชาห่างจากสามเณรประมาณ ๑ วา
โดยมีพระผู้เชี่ยวชาญวิปัสสนาธุระอีกรูปหนึ่งนั่งอยู่ห่าง ๆ
หลับตาทำสมาธิคอยตรวจสอบเหตุการณ์ เมื่อพญานาคเข้าประทับทรงสามเณรแล้ว
พญานาคจะบอกให้คนไข้นั่งตามสบาย เพื่อให้ท่านตรวจหาก้อนนิ่วในท้อง
และโรคภัยอื่น ๆ ที่อาจมีแอบแฝงอยู่ ใช้เวลาตรวจสอบประมาณ ๑ นาที
ก็สามารถจะบอกได้ว่าในท้องมีนิ่วกี่ก้อน จากนั้นก็ให้คนไข้อ้าปากขึ้น
สักครู่เดียวพญานาคราชเจ้าจะดูดเอาก้อนนิ่วในท้องออกมา แล้วพ่นออกจากปาก
(ปากของสามเณรโดยก้อนนิ่วนี้จะมาเข้าปากสามเณรที่ถูกประทับทรงก่อนแล้วจึงพ่นออกมาอีกที)
พระผู้เชียวชาญวิปัสสนาธุระ หลับตาทำสมาธิจิตคอยตรวจสอบเหตุการณ์อยู่ตลอดเวลาบอกว่า
“ขณะที่คนไข้เป็นนิ่วอ้าปากอยู่นั้นมองเห็นกายทิพย์ของมนุษย์ร่างหนึ่งมีขนาดโตเท่านิ้วก้อย
มีรัศมีสุกปลั่งเหมือนประกายดาวบนฟ้าได้ลอยพุ่งออกจากร่างสามเณร เลื่อนไหลเข้าไปในปากคนไข้
แล้วก็กลับออกมาเข้าร่างสามเณรอย่างเดิมจากนั้นก็เห็นสามเณรพ่นก้อนนิ่วออกจากปาก”
ต่อมาพญานาคราชเจ้าได้เข้าประทับทรงทำการักษาโรคใช้ชาวบ้านอย่างพิสดารมหัศจรรย์
นั่น คือ รักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว หรือลูคีเมียด้วยการสูบเลือดให้ออกจากร่างคนไข้
พ่นออกมาทางร่างประทับทรงลงกระโถนแล้วเติมเลือดบริสุทธิ์ให้ด้วยสภาวะทิพย์
ปรากฏว่ารักษาคนไข้ที่เป็นโรคมะเร็งของเม็ดเลือดขาวด้วยวิธีนี้หายเป็นปกติ
มีอายุยืนยาวต่อไปหลายรายเป็นที่เลื่องลือ
พญานาคราชเจ้าที่เข้าประทับทรงสามเณรเพื่อรักษาโรคนั้น
นอกจากรักษาโดยการสูบนิ่วออกจากคนไข้แล้ว
ยังสามารถรักษาคนที่ถูกผีกระทำคนมีวิชาอาคมกระทำอีกด้วย
เช่น สูบตะปูขนาด ๓ นิ้ว ๓ ดอก ออกจากคนไข้รายหนึ่ง
อีกรายหนึ่งได้สูบเอากระดูกผียาวประมาณคืบศอกออก
บางรายก็สูบเอาเส้นผมผีตายท้องกลมบ้าง ก้อนกรวดบ้าง
ด้ายมัตตาสังข์ คางคกตายซากเศษกระดูก ของมีคมและอะไรต่อมิอะไร
อีกหลายอย่างซึ่งสิ่งของ ท่านพ่อฯได้เก็บไว้ให้คนที่รักษาเป็นบางส่วน
ที่เก็บไว้ก็มีไม่ได้มาก เช่น เนื้อควายสด ๆ เปลวหมูดิบ ๆ หนังควาย คุณไสยสด ๆ
ประเภทนี้เมื่อสูบออกจากท้องจะมีขนาดเท่าหัวแม่มือเท่านั้น
แต่สักประเดี๋ยวก็จะเกิดอาการสั่นกระดุกกระดิกคล้ายสิ่งมีชีวิตและขยายตัวโตขึ้น ๆ
เอาไปชั่งดูปรากฏว่าน้ำหนัก ๓ - ๔ กิโลกรัมก็มี ต้องให้ศิษย์วัดเอาไปฝังในป่าช้า
ท่านพ่อฯบอกว่าพวกคุณไสยนี้เป็นวิชาลึกลับร้ายกาจของพวกเขมรและอิสลาม
พญานาคราชเจ้าท่านบอกว่าตรวจเห็นได้ง่ายกว่าอย่างอื่น เพราะเป็นวัตถุที่มีอยู่ในโลก
แต่ถ้าเป็นวิญญาณผีร้ายประเภทต่าง ๆ เข้าสิงในร่างแล้ว จะมองเห็นเป็นจุดดำ ๆ
หลบซ่อนอยู่ในร่างกายคนไข้ที่โน่นที่นี่ต้องสำทับสั่งให้ปรากฏร่างมันถึงจะแสดงตัวเป็นรูปร่างให้เห็น
พญานาคจะสั่งให้มันออกจากร่างคนไข้ ผีบางตัวก็ยอมโดยดีด้วยความกลัว
แต่ผีบางตัวดุร้ายมีฤทธิ์ไม่ยอมออกง่าย ๆ ผีประเภทนี้พญานาคราชเจ้า
ท่านเพียงแต่คอยยืนกำกับสั่งการให้ร่างทรงปราบเองโดยบอกคาถาปราบให้บ้าง
ซึ่งคนไข้เหล่านี้เมื่อวิญญาณผีออกจากร่างไปก็จะหายเป็นปกติ
การรักษาคนไข้ของพญานาคราชเจ้าด้วยการเข้าประทับทรงนี้
ส่วนมากหายขาดจากโรงภัยได้อย่างมหัศจรรย์แต่ก็มีหลายรายเหมือนกันที่ไม่รอด
เพราะถึงคราวที่ต้องตายไปตามวิบากกรรมของตน รายไหนจะไม่รอด
พญานาคราชเจ้าจะตรัสผ่านทางร่างประทับทรงว่าคนไข้รายนี้อาการหนักนะท่านเจ้าคุณ
ถ้าท่านบอกอย่างนี้ก็แปลว่าแย่ไม่มีทางรักษาได้นอกจากจะผ่อนหนักเป็นเบา
เช่นกำหนดคงจะตายภายในสามวันหรือเจ็ดวันแต่พ่อแม่หรือลูกหลานอยู่ไกลยังมาไม่ถึง
อยากเห็นหน้าอยากจะสั่งเสียอะไรเหล่านี้พญานาคราชเจ้าก็พอจะช่วยต่ออายุให้ได้บ้างตามสมควรแก่กรณี...

วันศุกร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2552

พระธาตุ 12 ราศี


1.เจดีย์พระธาตุศรีจอมทอง สำหรับผู้เกิดปีชวด
พระบรมธาตุเจดีย์นี้ตั้งอยู่บนยอดจอมทองเป็นที่ประดิษฐานพระบรมธาตุส่วนพระเศียร
เบื้องขวา ความพิเศษแตกต่างจากที่อื่นคือเป็นพระบรมธาตุที่มีได้ฝังใต้ดินแต่ประดิษ
ฐานอยู่ในกู่ภายในวิหาร สามารถอันเชิญมาสรงน้ำได้ตามตำนานเล่าว่าพระพุทธเจ้าได้
เสด็จมายังดอยนี้และทรงพยากรณ์ว่าที่นี้จะเป็นที่ประดิษฐานพระทักขิณโมลีธาตุของพระ
องค์ในภาย หน้า ต่อมาในราวปี พ.ศ.1995 นางเม็งและ นายสอยได้พบพระบรมธาตุ จึง
ได้ก่อพระเจดีย์และสร้างเสนาสนะที่ดอยต้นทองคนทั้งหลายจึงเรียกชื่อวัดนี้ว่าวัดจอมทอง
ในสมัยพระแก้วเมือง (พ.ศ.2038-พ.ศ.2068)กษัตริย์องค์ที่ 14 แห่งราชวงค์มังราย ได้
สร้างวิหารจัตุรมุข ภายในมีมณฑปปราสาทเพื่อประดิษฐานพระบรมธาตุ เจ้าเมืองเชียงใหม่
หลายพระองค์ได้อัญเชิญพระบรมธาตุศรีจอมท่องไปยังเมือง เชียงใหม่เพื่อทำการสักการะ
โดยมีวัดต้นแกว๋นที่อ.หางดง เป็นวัดที่หยุดพักขบวนแห่พระบรมธาตุเข้าเมืองในในวันขึ้น
15 ค่ำ เดือน 3 และวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 7 มีพิธีแห่พระบรมธาตุไปบูชาข้าวที่อุโบสถและ
ให้พุทธศาสนิกชนได้ทรงน้ำโดยจะมีการกล่าวบนอัญเชิญและใช้ช้อนทองคำอัญเชิญพระ
ธาตุจากผอบมาประดิษฐานใน โกศแก้ง ที่ตั้งบนพานเงิน ตามธรรมเนียมเดิมควรนำน้ำ
จากแม่น้ำกลางเจือน้ำหอมหรือแก่นจันทร์มาใช้ทรงหรือจะเป็นน้ำสะอาดเจือของหอมก็ได้

รวบรวมหัวข้อ “ธรรมะธรรมดา”




รวบรวมหัวข้อ “ธรรมะธรรมดา” ที่เรียบง่าย เข้าใจง่าย จากผู้รู้ ครูอาจารย์ และกัลยาณมิตร และจากข้อคิดคำคม
เราเชื่อว่าข้อความดีๆ แม้เพียงคำเดียว , ประโยคเดียวก็อาจเปลี่ยนแปลงชีวิตได้


• ธรรมะเป็นสิ่งพิเศษ ยิ่งแจกยิ่งเพิ่ม ยิ่งให้ยิ่งได้
• ธรรมะเป็นของวิเศษ คือ สอนให้เรามีสติปัญญาเป็นหลักชัยในการดำเนินชีวิต
• กิเลสทั้งหมดเกิดรวมอยู่ที่จิต ให้เพ่งมองดูที่จิต อันไหนเกิดก่อน ให้ละอันนั้นก่อน
• ผู้ที่เขาตรัสรู้แล้ว เขาไม่พูดว่าเขารู้แล้วซึ่งอะไร เพราะสิ่งนั้นมันอยู่เหนือคำพูดทั้งหมด
• ที่เห็นนั้น เขาเห็นจริง แต่สิ่งที่ถูกเห็นไม่จริง
• คิดเท่าไรๆ ก็ไม่รู้ ต่อเมื่อหยุดคิดได้จึงรู้
• การภาวนาต้องกำหนดดูที่ลมหายใจ ถ้ามีเวลาสำหรับการหายใจ ก็ต้องมีเวลาสำหรับภาวนา
• ไม่มีใครตัดความโกรธได้หรอก มีแต่รู้ทัน เมื่อรู้ทันมันก็ดับไปเอง
• ให้ดูจิต ที่จิต
• ทุกข์ ต้องกำหนดรู้ เมื่อรู้แล้วให้ละเสีย ไปเก็บมันไว้ทำไม
• การไม่กังวล การไม่ยึดถือ นั่นแหละคือวิหารธรรมของนักปฏิบัติ
• หลักธรรมที่แท้จริงนั้น คือ จิต ให้กำหนดดูจิต ให้เข้าใจจิตใจตัวเองให้ลึกซึ้ง
เมื่อเข้าใจจิตตัวเองได้ลึกซึ้งแล้ว นั่นแหละได้แล้วซึ่งหลักธรรม
• บุคคลไม่ควรเศร้าโศกอาลัยอาวรณ์ถึงสิ่งนอกกายทั้งหลายที่มันผ่านพ้นไปแล้ว
มันหมดไปแล้ว เพราะสิ่งเหล่านั้นมันได้ทำหน้าที่ของมันอย่างถูกต้องโดยสมบูรณ์ที่สุดแล้ว
• อย่าให้จิตแล่นไปสู่อารมณ์ภายนอก ถ้าเผลอเมื่อรู้ตัวให้รีบดึงกลับมา อย่างปล่อยให้มันรู้อารมณ์ดีหรือชั่ว สุขหรือทุกข์ ไม่คล้อยตาม และไม่หักหาญ
• เรียนอะไรก็ให้มันรู้อันนั้น เดี๋ยวก็เก่งเองแหละ
• การศึกษาธรรม ด้วยการอ่านการฟัง สิ่งที่ได้ก็คือสัญญา (ความจำได้) การศึกษาธรรมด้วยการลงมือปฏิบัติสิ่งที่เป็นผลของการปฏิบัติ คือ ภูมิธรรม
• การปฏิบัติ ให้มุ่งปฏิบัติเพื่อสำรวม เพื่อความละเพื่อคลายความกำหนัด ยินดี เพื่อความดับทุกข์ ไม่ใช่เพื่อเห็นสวรรค์วิมาน หรือแม้พระนิพพานก็ไม่ต้องตั้งเป้าหมายจะเห็นทั้งนั้น
ให้ปฏิบัติไปเรื่อยๆ ไม่ต้องอยากเห็นอะไร เพราะนิพพนานมันเป็นของว่าง ไม่มีตัวมีตน
หาที่ตั้งไม่มี หาที่เปรียบไม่ได้ ปฏิบัติไปจึงจะรู้เอง
• ที่เขามีความไม่พอใจ เพราะใจเขามีความไม่พอ
• รู้แล้วละวาง ปล่อยทิ้ง และไม่อาลัย และไม่ยึดมั่นในธรรมต่างๆ
• ไม่มีงานไดที่ต้อยต่ำ ถ้าทำด้วยใจสูง
• มืดค่ำส่องด้วยไฟ มืดใจส่องด้วยธรรม
• คุณธรรมเท่านั้นที่ทำให้คนมีเกียรติ
• อาหารที่อร่อยที่สุดในโลก คือ อาหารที่ท่านทานในขณะหิว
• พึงเจริญสติให้รู้เท่าทันอารมณ์อยู่เสมอ
• จงระวังใจของตนเองให้เข้มแข็ง ดีกว่าคอยระแวงคนอื่น
• เครื่องประดับข้อมือคือการให้ เครื่องประดับจิตใจคือเมตตา
เครื่องประดับหูนั้นหนา คือฟังสิ่งมงคล
• สงบพบตนเอง
• ชื่นชมต่อหน้าไม่ดีเท่าอย่านินทาลับหลัง
• จงละวางความโกรธ และความเกลียดชัง
• จงอย่าเหนื่อยกับการวิ่งไล่สิ่งที่ไกลตัว
• จงยกระดับจิตใจให้ข้ามพ้นความอิจฉาริษยา
• มนุษย์ต้องเพิ่มขีดความสามารถในการดำเนินชีวิต ด้วยการบริหารจัดการกับกิเลสและความทุกข์อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ด้วยต้นทุนต่ำสุด เกิดคุณประโยชน์สูงสุด เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของจิตใจในการพ้นทุกข์
• ก่อนที่จะง่ายก็ยากมามากแล้ว
• ผู้ไม่ถูกนินทาไม่มีในโลก
• บุคคลไม่พึงใส่ใจในคำแสลงหูของคนเหล่าอื่น ไม่พึงดูแลกิจที่ทำแล้วและยังไม่ได้ทำของชนเหล่าอื่น พึงพิจารณากิจที่ทำแล้วและยังไม่ทำของตนเท่านั้น
• เมตตา คือ ความรักที่ประกอบด้วยปัญญา เมื่อเราเมตตาตนเอง รักตนเอง เราก็จะเคารพชีวิตของคนอื่นเช่นเดียวกัน
• ไม่มีอะไรที่ยุติธรรมเท่ากับกรรมที่ทำไว้
• เมื่อศึกษาจิตวิญญาณเชิงลึก ทำให้การตายเป็นสิ่งงดงาม เราจะมีชีวิตที่ปล่อยคืนไม่ฝืนไว้
• เมื่อมีธรรมะอยู่ในหัวใจแล้ว ไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวต่อสิ่งใดอีก
• ล้มเพราะเดินไปข้างหน้า ดีกว่ายืนเต๊ะท่าอยู่กับที่
• คนไม่ดีคอยแต่โฆษณาความชั่วของคนอื่น เพราะเขาไม่รู้จักความดี
• ความโศกเศร้า… สามารถเยียวยาตัวเองได้โดยลำพัง
แต่การจะได้รับความเบิกบานอย่างเต็มเปี่ยม จำเป็นต้องมีใครสักคนมาแบ่งปัน
• คิดถึงความสำเร็จในวันข้างหน้า ต้องกล้าเปลี่ยนแปลงตัวเองในวันนี้
• คนที่รู้จักจุดหมายปลายทางของตนเอง คือคนที่เดินทางไปได้ไกลที่สุด
• บ่อยครั้งที่เราไม่มีเวลาสำหรับมิตร แต่กลับทุ่มเวลาทั้งชีวิตให้แก่ศัตรู
• จงอย่าขุดคุ้ยอดีต
• หากคุณพูดความจริง คุณไม่จำเป็นต้องจดจำอะไรเลย
• ความมืดทั้งโลกก็ดับแสงเทียนเล่มหนึ่งไม่ได้
• ไม่มีคำแนะนำของใครที่ไร้ค่าไปเสียหมด แม้แต่นาฬิกาตายยังตรงเวลาถึงวันละ 2 ครั้ง
• มือที่ช่วยเหลือน่าเคารพบูชา มากกว่าปากที่สวดมนต์
• ยิ่งยากลำบากเท่าใด ก็ยิ่งเข้าใจชีวิต
• พูดมากเสียมาก พูดน้อยเสียน้อย ไม่พูดไม่เสีย นิ่งเสีย โพธิสัตว์
• การได้เกิดเป็นมนุษย์ การมีชีวิตดำรงอยู่ได้ การได้พบพระพุทธเจ้า การได้ฟังธรรมพระพุทธองค์ 4 สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ได้มาโดยยาก
• ทำบุญช้าไป ใจจะยินดีในบาป
• การให้ธรรมยิ่งกว่าการให้ทั้งปวง แต่ยิ่งกว่าการให้ธรรม คือการรับธรรมและปฏิบัติธรรม
จึงเป็นผู้มีธรรมเป็นของตนจริง
• คำพูดที่เสียดแทงใจไม่สามารถทำให้ความดีของเราลดน้อยลงไปได้ ถ้าเราดีจริง
• ในวงสนทนา หากผู้ใดเริ่มนินทา ผู้นั้นเริ่มก่อเวร
• ยิ้มได้ เมื่อถูกเยาะ หัวเราะ เมื่อถูกเย้ย วางเฉย เมื่อถูกชม
• ผู้ที่ชอบพูดถึงความไม่ดีไม่งามของผู้อื่น ผู้นั้นมีใจริษยา
• บางครั้งการก้าวไปก็สำคัญกว่าการก้าวถึง
• คนโง่มักแสดงตนให้ผู้อื่นเห็น ว่าตนเป็นผู้ฉลาดเสมอ
• คนโกหกเก่งมักเป็นคนพูดคล่อง
• การเริ่มต้นทุกครั้ง จงคิดถึงจุดจบด้วย
• ความรู้สอนให้ถ่อมตน แต่ความโง่เขลาสอนให้เย่อหยิ่ง
• เป็นไปไม่ได้ที่จะเอาชนะ คนโง่ ด้วยการโต้เถียง
• คนโง่คิดถึงพรุ่งนี้ แต่คนฉลาดจะใช้วินาทีนี้ให้เป็นประโยชน์

วันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2552

สุวรรณภูมิ....ท่าอากาศยานทันสมัยที่สุดแห่งภูมิภาค



สุวรรณภูมิ....ท่าอากาศยานทันสมัยที่สุดแห่งภูมิภาค อดีตที่ผ่านโครงการ Airport Service Quality (ASQ) ของ Airport Council International จัดอันดับให้อยู่ 1 ใน 10 ของสนามบินนานา ชาติ...จากการคัดเลือก 115 ท่าอากาศยานชั้นนำทั่วโลก
แต่...ปัจจุบันท่าอากาศยานแห่งนี้ได้ตกอันดับหลุดลุ่ยลงมาอย่างน่าใจหาย ด้วยหลากหลายปัญหาที่เกิดขึ้น บางอย่างไม่น่าจะมี มันก็อุบัติขึ้นได้อย่างไม่น่าเชื่อ....
และ...บ่อยครั้งจน สร้างความฉงนให้กับสังคม แล้วก็มีกระแสลือในมิติมืด ว่า...มี อาเพศ
O O O
ภายในอาคารของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ นอกจากสัดส่วนของสำนักงานบริการ และร้านค้าอันเป็นปัจจัยร่วมอำนวยความสะดวกแก่นักเดิน ทางแล้ว ยังมี องค์ประกอบอื่นๆ ที่เด่นๆ เป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นไทย
พญายักษ์...เป็นประติมากรรมที่นำมา ประดิษฐานภายในอาคารแห่ง นี้ถึง 12 ตน เพื่อเป็นสื่อให้ชาวต่างชาติที่มาเยือนแผ่นดินสยามได้สัมผัสกับอมตะศิลป์ของประเทศ โดย จำลองจากวัดพระศรีรัตนศาสดาราม คือ
.....ทศกัณฐ์ มังกรกัณฐ์ จักรวรรดิ อินทรชิต สหัสเดชะ ไมยราพ สุริยาภพ อัศกรรณมาลา วิรุญจำบัง วิรูฬหก ทศคีรีธร และ ทศคีรีวัน
และ....แล้วก็เชื่อกันว่า พญายักษ์เหล่านี้สำแดงพลังอันเร้นลับ เป็นปฐมเหตุ
O O O
จึง....จะมีการ ปรับสถานที่โยกย้าย 12 ต้นเหตุแห่งอาเพศไปยังพิกัดอื่น เป็นการสกัดมิให้แผ่พลังอิทธิพล (เลวร้าย) กับท่าอากาศยานแห่งนี้...ตามความเชื่อ และที่ร่ำลือกัน
นางสาวบุษบา ภู่สกุล ผู้อำนวยการฝ่ายกิจการพิเศษ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จึงได้ปรึกษา พระราชครู วามเทพมุนี หัวหน้าคณะพราหมณ์ เทวสถาน โบสถ์ พราหมณ์ กับการ จัดกระบวนการล้างอาถรรพณ์ สร้างขวัญกำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติการภายในปริมณฑลสุวรรณภูมิ
ซึ่งก็ได้รับการบอกเล่าว่า....ศาสตร์ของพุทธกับพราหมณ์ได้เผยแผ่สู่ศาสนิกชนทั่วโลก เป็น 2 ศาสนาซึ่งความผูกพันอย่างเหนียวแน่น โดย เฉพาะความศรัทธาและพิธีกรรมเชื่อมโยงจนแทบจะกลายเป็นอันเดียวกัน
O O O
ทศกัณฐ์ประดิษฐานอยู่หลังลานค้า
มีบัญญัติการจำแนกชนเป็นกลุ่มๆ คือ เปรต อสุรกาย อสูร ยักษ์ มนุษย์ เทพ เทวดา โดย แบ่งระดับชั้นบนพิภพตามคุณธรรมความดี...และที่ สูงสุดคือพระ-พุทธเจ้า
ยักษ์...เป็นชนของกลุ่ม นิสัยพื้นฐานอยู่กับความ โลภ โกรธ โมหะ กามะ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นกิเลส
แม้ จุดประสงค์จะออกมาในทางสร้างสรรค์ เพื่อต้อนรับแขกที่มาเยือนด้วยความงามแห่งศิลป์....แต่ก็มี พลังในการแผ่บารมีในสิ่งที่เร่าร้อน น่าสะพรึง กลัว จึงมีปัญหาขาดสติในการดำเนินการ ส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติงาน
O O O
อีกประการหนึ่งที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่ดี ไม่ควร....เนื่องจาก บรรดายักษ์ ทั้ง 12 ตน ที่จำลองมาจากวัดพระศรีรัตนศาสดาราม นั่นเป็นยักษ์ที่มีฐานะเป็นกษัตริย์ ที่ครองเมืองต่างๆ แม้จะมีนิสัยเลวร้ายแต่ก็ เป็นผู้มีสัจจะ และ ศักดิ์ศรี
...จึงต้องพิจารณาดูว่าการนำมาประดิษฐานไว้บริเวณนั้นเหมาะสมหรือไม่ หาก ลดฐานะลงไปก็เป็นธรรมดาที่จะทำให้เกิดโมหะ
แม้ว่า....จะมีการเซ่นไหว้จากผู้ประกอบการภายในสถานที่ แต่ก็ แสดงออกเพียงหน้าที่ให้ยืนเพื่อปกป้องดูแลสินค้า ที่ตนเองนำมาจำหน่าย ไม่สมศักดิ์ศรีและฐานะของการเป็นกษัตริย์....จึงแผ่บารมีในทางลบ
O O O
โลกของเราโดยธรรมชาติอยู่ได้ด้วยความสมดุล ถึงจุดนี้หากวิเคราะห์แล้ว ภายในอาคารสุวรรณภูมินั้นมันเอียงไปในทางอัปปะ จักต้องหาสิ่งที่เป็นมงคลเข้ามาถ่วงดุล
สิ่งที่บัญญัติให้เกิดขึ้นมาคู่กันกับยักษ์ ก็คือเทพ หรือ เทวดา ซึ่งบางครั้งก็มีการรบล้างเผ่าพันธุ์ กันบ้างเพื่อขจัดสิ่งที่ไม่ดีให้สลายไป และ บางโอกาสก็ปฏิบัติการร่วมกัน....ให้เกิดความขลังและยิ่งใหญ่กับกิจกรรม นั้นๆ
อย่างที่.....วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เหล่ากษัตริย์ ยักษ์จะยืนปกปักรักษาอยู่ด้านนอก ส่วนภายในพระอุโบสถเหล่าเทพเทวดาทั้งหลายก็จะเฝ้าดูแลพระแก้วมรกต อันหมายถึงพระพุทธเจ้า องค์ ผู้ยิ่งใหญ่ที่สร้างสันติสุขให้ กับโลก...ที่ถือว่าสูงสุด
O O O
ยักษ์บางตนตั้งหลบเป็นอีแอบหลังเสา
เมื่อ....นำยักษ์มาประดิษฐาน ณ สุวรรณ-ภูมิแล้วเกิดเหตุที่ไม่พึงปรารถนา ก็ไม่ควรทำลายให้เสียงบประมาณ เพียงแก้เคล็ดนิดหน่อยก็อาจทำให้สถานการณ์ดีขึ้น ด้วยการย้ายไปตรงจุดที่เหมาะสม มิใช่เป็นอีแอบและ เฝ้ายามที่ร้านค้า
และ...ควรมีเหล่าเทวดาประดิษฐานในปริมณฑลเดียวกัน เพื่อถ่วงพลังให้โลกเกิดความสมดุล ซึ่งก็ต้องศึกษาด้วยว่าเทวดาหรือเทพมีหลายระดับ สถิตในชั้นวิมานแตกต่างกัน ก็ต้องแยกให้ถูกต้อง
....ที่สำคัญจักต้องมีพระพุทธรูป เพื่อเป็นประมุขในความสันติสุขแก่เหล่าเทวดา มนุษย์ ยักษ์ และสัมภเวสีทั้งหลาย....สถานที่จะได้สงบสุข
O O O
การโยกย้าย....ส่วนของยักษ์นั้นไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไรมาก เนื่องจากอยู่ในภูมิฐานที่ไม่สูง สำหรับ เทพและเทวดาจักต้องมีพิธีกรรม ฤกษ์เวลาในการบวงสรวงอัญเชิญ เนื่องจากแต่ละองค์นั้นสถิตประจำดวงดาวต่างๆ บนสรวงวิมานให้ได้รับรู้...จนถึง พระ พุทธองค์ซึ่งสถิตบนชั้นฟ้าจุฬามณี ก็เช่นกัน
การปรับภูมิเพื่อลดความวุ่นวาย สร้างความสันติสุขในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ...จึงเป็น การบ้านข้อใหญ่ ให้ไปขบคิด
...ท่านเชื่อเรื่องนี้หรือไม่ อย่าลบหลู่..!!!

ก้อง กังฟู




วันพุธที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2552

เรื่องเล่าจากสองข้างทาง




ลุงปอน นี่คือ เรื่องราวของชายคนหนึ่ง
วันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2552 ปีที่ 21 ฉบับที่ 45

ครับ...ต่อไปนี้ เป็นเรื่องราวของชายธรรมดาคนหนึ่ง ที่เกิดมาอย่างสามัญธรรมดา ดำเนินชีวิตมาอย่างปกติเช่นสามัญชนคนหนึ่ง

แต่มีเป้าหมายชีวิตและอุดมการณ์ที่ไม่ธรรมดา เขาเป็นบุคคลที่ จิตร ภูมิศักดิ์ นักวิชาการที่โดดเด่นของยุคสมัย ยอมรับนับถือเป็นมิตรแท้ท่านหนึ่ง และเป็นผู้จัดพิมพ์งานยุคต้นๆ ของ จิตร ภูมิศักดิ์ อย่างต่อเนื่อง เป็นนักสู้ และเป็นผู้บุกเบิกผลงานให้กับจังหวัดขอนแก่นอย่างมากมาย เป็นเจ้าของกิจการตลาดสดที่มีอุดมการณ์เหนียวแน่นมั่นคง จนเป็นแบบอย่างตลาดชั้นที่ 1 ของประเทศ

ใครๆ เรียกท่านว่า ลุงชาญ หรือ ปู่ชาญ เนียมประดิษฐ์ สุดแท้แต่วัยของผู้เรียกขาน

ลุงชาญ หรือ ปู่ชาญ เป็นสุภาพบุรุษสูงวัยที่ยังกระฉับกระเฉง แม้ในวันนี้ท่านจะอาศัยไม้เท้าช่วยเหลือการเดิน เพื่อระวังการทรงตัว แต่ท่านก็ยังแข็งแรง แม้จะผ่านการผ่าตัดบายพาสหัวใจมาเมื่อไม่นาน แต่ใบหน้ายังยิ้มแย้มสดใส บ่งบอกถึงความเมตตาที่ไม่มีขอบเขต สุ่มเสียงแม้สั่นเครือบ้างตามวัย แต่ก็มีกังวานชัดเจน ความทรงจำยังเป็นเลิศ บอกเล่าเรื่องราวชีวิตแต่หนหลังได้ทุกเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องราวเกี่ยวกับ จิตร ภูมิศักดิ์

ผมจะไม่บอกเล่าเรื่องราวระหว่าง จิตร ภูมิศักดิ์ กับลุงชาญ และป้าจินตนา เนียมประดิษฐ์ มิตรสหายเก่าแก่ที่ยังเก็บความทรงจำอันสดใสต่อกันในคราวนี้ แต่จะบอกเล่าถึงงานที่ลุงชาญรักและตั้งใจอย่างมาก และดำเนินการอย่างมีขั้นตอน จนสำเร็จลงได้อย่างงดงามเมื่อวันสิ้นเดือนพฤษภาคมที่เพิ่งผ่านมานี้
งานวันเปิดโรงเรียนวัฒนธรรมและการศึกษาซีโน-ไท ที่ลุงชาญ และทายาทคนโตของท่านใช้ความพากเพียรอย่างมากที่จะเสริมความรู้ภาษาจีนให้กับเยาวชนและผู้สนใจเรียนรู้ภาษาจีนในจังหวัดขอนแก่นและจังหวัดภาคอีสานอื่นๆ ลุงชาญทำได้ดีทั้งองค์ประกอบของการจัดพื้นที่ นิทรรศการ และบริการแขกเหรื่อที่ไปร่วมงาน ที่น่าสนใจพิเศษคือ องค์ประกอบเกี่ยวกับประเทศจีนและวัฒนธรรมจีนที่สรรมาเป็นบรรยากาศในงาน เช่น รูปภาพและดนตรีจีน อักษรจีนโบราณ และบรรยากาศทั่วไปก็มีกลิ่นอายความเป็นจีน
ลุงชาญบอกเล่าให้ผมฟังมาแล้วหลายครั้งว่า ตลาดบางลำภู ขอนแก่น ของลุง มีเป้าหมายแน่ชัดที่จะให้เป็นตลาดสะอาด เป็นตลาดสีฟ้า เป็นตลาดปลอดบุหรี่ ตลาดปลอดสารพิษ เป็นตลาดสด เป็นตลาดสำหรับผู้คนที่ชอบช็อปปิ้ง และเป็นตลาดความรู้ ลุงชาญและทายาทค่อยๆ เปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ของตลาด

เริ่มจากตลาดสดชั้นล่างสุด ที่มีทั้งตลาดขายผัก ตลาดกับข้าวกับปลา และอีกส่วนหนึ่งเป็นร้านขายผลิตภัณฑ์จากโครงการหลวง ผลิตภัณฑ์จากดอยคำ และตลาดดอกไม้ ตลาดชั้นล่างสุดนี่เองที่มีห้องตรวจคุณภาพผัก มีเครื่องมือตรวจวัดสารพิษของผักที่นำมาขายในตลาดแห่งนี้ด้วย ผักมีสารตกค้างเจือปนจะไม่ได้รับการยินยอมให้เข้ามาขายในตลาดแห่งนี้

เป็นตลาดในภูมิภาคแห่งแรกที่มีเครื่องมือชุดนี้ เมื่อมีเครื่องมือ ก็ต้องมีนักวิชาการมาประจำ
ลุงชาญพร้อมที่จะควักกระเป๋าจ้างนักวิชาการด้วยเงินของตัวเอง

ตลาดชั้นที่สอง เป็นตลาดที่ขายคอมพิวเตอร์ และเครื่องมือเครื่องใช้เกี่ยวกับ ไอที คอมพิวเตอร์ และเสื้อผ้า เครื่องประดับ อุปกรณ์เสริมความสวยความงามของสุภาพบุรุษและสุภาพสตรี เป็นตลาดที่มีระดับสูงกว่าชั้นล่างสุด
ส่วนชั้นที่สาม เป็นตลาดวิชา และห้องสมุดสำหรับเด็ก เยาวชน และประชาชนทั่วไป ที่สนใจใฝ่หาความรู้ เวลานี้คือสถาบันการเรียนรู้ภาษาและวัฒนธรรมจีนที่เพิ่งมีพิธีเปิดไปเมื่อเร็วๆ นี้ ในชื่อ "โรงเรียนวัฒนธรรมและภาษาจีน" ที่กล่าวถึงตอนต้นเรื่อง
ครูภาษาจีนที่สอนที่นี่ ลุงชาญและทายาทร่วมมือกับรัฐบาลจีน เชิญมาเป็นพิเศษ ครูบาอาจารย์ของโรงเรียนนี้ ผมดูหน้าตาแล้ว ล้วนแต่เป็นคนหนุ่มคนสาว ซึ่งลุงชาญบอกว่าเป็นคนหนุ่มคนสาวไฟแรง และเชี่ยวชาญทั้งภาษาและวัฒนธรรมจีนอย่างลึกซึ้งทั้งสิ้น ผมคุ้นเคยกับลุงชาญค่อนข้างมาก จึงพอจะทราบได้ว่า ในช่วงปลายชีวิตของลุงชาญมีเรื่องที่ลุงชาญสนใจมากที่สุดคือ วัฒนธรรมจ้วง ซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์ชาติไทยสายหนึ่งที่มีถิ่นฐานที่อยู่ในประเทศจีนตอนใต้

ผมเจอลุงชาญที่ไหน ลุงชาญจะบอกเล่าเรื่องจ้วงตลอด
เรื่องต่อมาคือ การจัดตั้งห้องสมุดของ จิตร ภูมิศักดิ์ ที่ลุงชาญใช้ความพยายามอย่างมากที่จะรวบรวมสิ่งของเครื่องใช้ของ จิตร ภูมิศักดิ์ มาไว้ในห้อง "จิตร ภูมิศักดิ์" ที่ชั้นสาม ของตลาดบางลำภู ขอนแก่น ให้มากที่สุด และมีกำหนดจะเปิดห้องสมุด จิตร ภูมิศักดิ์ ในเร็ววันนี้ เนื่องจากในวัยหนุ่ม ลุงชาญกับจิตร ภูมิศักดิ์ ใกล้ชิดสนิทสนมกันมาก และลุงชาญกับป้าจินตนา (ภรรยาลุงชาญ) ตอนเป็นเจ้าของสำนักพิมพ์เทเวศร์ ที่กรุงเทพฯ ได้จัดพิมพ์หนังสือของ จิตร ภูมิศักดิ์ และได้ให้การช่วยเหลือดูแลกันและกันมาตลอด

สิ่งที่ฝังใจของลุงชาญ ประการสุดท้าย คือต้องการให้ตลาดบางลำภู ขอนแก่น เป็นตลาดตัวอย่าง เป็นตลาดค้าขายที่สะอาด มีมาตรฐานสูง และเป็นตลาดวิชาของเด็ก เยาวชน และผู้สนใจใฝ่รู้
เวลานี้ความสำเร็จทั้ง 3 ประการ ของลุงชาญ ปรากฏให้เห็นแล้ว รอแต่วันที่จะเข้ารูปเข้ารอยอย่างสมบูรณ์เท่านั้น

ชั้นที่ 3 ของตลาดบางลำภู ขอนแก่น อีกเหมือนกัน ที่ลุงชาญควักกระเป๋าสร้างห้องประชุมขนาดใหญ่ ที่สวยงามและมีอุปกรณ์จัดประชุมอย่างเพียบพร้อม มีระบบเสียง และระบบปรับอากาศอย่างดี สำหรับกลุ่มบุคคลกลุ่มใดก็ได้ สามารถใช้ประชุมสัมมนา และทำกิจกรรมที่มีคนมากๆ ขนาด 500 คน อย่างสะดวกและสบาย

ตลาดบางลำภู ขอนแก่น มีเรื่องราวที่น่าสนใจไม่น้อยเหมือนกัน เนื่องจากแต่เดิมเคยเป็นที่ดินของกระทรวงการคลัง ทำนองที่ดินราชพัสดุ และเคยเป็นที่ตั้งของศาลากลางจังหวัดมาตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2450 เมื่อมีศาลากลางจังหวัดสร้างใหม่ในปี 2508 ศาลกลางเก่าแห่งนี้ก็เลิกใช้ แต่จะถูกทุบทิ้งหรืออย่างไร ไม่ทราบได้ แต่กระทรวงการคลังได้มอบให้เป็นของเทศบาลเมืองขอนแก่นต่อมา จนกระทั่งลุงชาญได้เข้ามาเช่าช่วงและพัฒนาเป็นตลาดบางลำภู ขอนแก่น จนบัดนี้
ตลาดบางลำภู ขอนแก่น อยู่ฝั่งตรงข้ามกับสถานีตำรวจภูธร และที่ทำการไปรษณีย์ ขอนแก่น

แม้จะมีแค่ 3 ชั้น แต่ตลาดบางลำภูมีลิฟต์แก้วทันสมัยด้วย ลิฟต์ตัวนี้ติดตั้งไว้เพื่อความสะดวกในการขนข้าวขนของหนักๆ ไปชั้นที่ 3 ของอาคาร และด้วยความจำเป็นส่วนตัวของลุงชาญเอง ที่ขึ้นลงบันไดได้ลำบากแล้ว
ผมถามลุงชาญด้วยว่า ทำไม ถึงตั้งชื่อว่า "ตลาดบางลำภู"
ลุงชาญหัวเราะเบาๆ และบอกว่า มีคนเสนอชื่อมาตั้งหลายชื่อ ไม่ลงตัวสักที ลุงชาญเลยสรุปง่ายๆ ว่า เอาชื่อที่รู้จักกันดีอยู่แล้วในสมัยนั้น คือ ตลาดบางลำภู นี่แหละง่ายดี

ครับ...ลุงชาญ เป็นคนง่ายๆ อย่างนี้ น่ารักนะครับ

วันเปิดโรงเรียนวัฒนธรรมและภาษาซีโน-ไท ลุงชาญในชุดแต่งกายที่ดูโอ่อ่า บอกเล่าอย่างภาคภูมิใจในผลงานของท่านตอนหนึ่งว่า

"วันนี้ ผมได้บรรลุเป้าหมายที่สามารถปรับสภาพตลาดสดให้ปราศจากกลิ่นอับ เหม็นสาบ ความสกปรก ตลาดบางลำภูวันนี้เป็นตลาดสีฟ้า จำหน่ายสินค้าราคาถูก เพื่อช่วยเศรษฐกิจของประชาชน ชั้นล่างเป็นตลาดขายของชำ ของสด บนลานพื้นที่สะอาด ส่วนชั้นสองเป็นตลาดค้าปลีกสินค้าเบ็ดเตล็ด ส่วนชั้นสาม ตั้งใจให้เป็นสถานที่จัดงานพิธีต่างๆ และเป็นตลาดความรู้ จึงเป็นที่ตั้งของโรงเรียนวัฒนธรรมและการศึกษาซีโน-ไท เป็นสถานศึกษาเอกชนสอนภาษาจีนที่มีคุณภาพ สร้างความรู้แก่เยาวชนและประชาชน โดยครูหนุ่มสาวไฟแรงจากประเทศจีน ประกอบกับหลักสูตรการสอนภาษาจีนกลางที่ได้มาตรฐาน เพื่อชาวต่างชาติหรือฮั่นปั้น อีกทั้งมีสัญญาสนับสนุนของสถาบันอุดมศึกษาในประเทศจีนให้เป็นแหล่งศึกษาต่อในอนาคต"

นี่คือ ชายคนหนึ่ง ที่ชื่อ ชาญ เนียมประดิษฐ์

ปณิธานของลุงชาญแจ่มชัดและแน่วแน่ น่ายกย่องไหมครับ

วันจันทร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2552

วันอังคารที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2552

Land of the Lost (ข้ามมิติตะลุยแดนมหัศจรรย์)


เรื่องย่อ
ขณะออกเดินทางสำรวจครั้งล่าสุด ด็อกเตอร์ ริก มาร์แชลล์ (วิล ฟาเรลล์) ถูกดูดเข้าไปในห้วงการเดินทางข้ามมิติ พร้อมกับผู้ช่วยวิจัย ฮอลลี (แอนนา ฟรีล) และนักเอาตัวรอด วิลล์ (แดนนี แมกไบรด์) พวกเขาไปโผล่ในโลกคู่ขนานที่ดูเหมือนจะย้อนอดีตไปไกลลิบ ที่ที่เต็มไปด้วยทิวทัศน์อันน่าตื่นตาตื่นใจแห่งนี้มีชื่อเรียกว่า ดินแดนมหัศจรรย์
มาร์แชล ไม่มีทั้งอาวุธ ทักษะ หรือความสามารถใดๆ ที่จะเอาชีวิตรอดในโลกที่เต็มไปด้วยกองทัพไดโนเสาร์ที่หิวโหยและสิ่งมีชีวิตมหัศจรรย์อื่นๆ ทั้งสามจึงต้องพึ่งพามิตรแท้เพียงหนึ่งเดียวของพวกเขา นั่นคือมนุษย์ลิงชื่อ ชากา (จอร์มา ทักโคนี)
ขณะหาทางออกจากมิติพิศวงนี้ พวกเขาต้องถูกไดโนเสาร์ทีเร็กซ์ไล่ล่า และยังถูกสัตว์เลื้อยคลานเชื่องช้าที่เรียกว่าสลีสแตกส์สะกดรอยตาม มาร์แชลล์ และ ฮอลลี และ วิลล์ จะกลับไปยังโลกเดิมได้โดยรอดปลอดภัยหรือไม่ และหากพวกเขาทำเช่นนั้นได้ ด็อกเตอร์ มาร์แชลล์ จะกลายเป็นวีรบุรุษจากการค้นพบที่ยิ่งใหญ่หรือเปล่า


ประเภท Adventure / Comedy / Sci-Fi
กำกับโดย Brad Silberling
เขียนโดย Chris Henchy, Dennis McNicholas, Sid Krofft, Marty Krofft
นำแสดงโดย Will Ferrell,Danny McBride,Anna Friel,Jorma Taccone,Eve Mauro,Michael Papajohn,Todd Christian Hunter,Pollyanna McIntosh,John Boylan,Mousa Kraish,Logan Manus

Liver

ตับ เป็นอวัยวะที่ใหญ่ที่สุดของร่างกาย ตับของผู้ใหญ่จะมีน้ำหนักโดยเฉลี่ยประมาณ 1.5 กิโลกรัม และที่น่าสนใจมากก็คือ ปริมาณโลหิตในร่างกายทั้งหมดซึ่งมีประมาณ 5,000 ซีซี. (5 ลิตร) จะไหลเวียนผ่านตับ 1 รอบใช้เวลาเพียง 4-5 นาทีเท่านั้น หรืออาจกล่าวให้น่าสนใจยิ่งขึ้นไปอีกว่า ตับเป็นอวัยวะที่มีเลือดในร่างกายไหลผ่านถึงวันละ 360 รอบ คิดเป็นจำนวนเลือดที่ไหลผ่านมีปริมาณมากถึงวันละ 1,800 ลิตร (คิดเป็นน้ำหนักถึง 1.8 ตัน) ถ้าเปรียบตับเป็นเครื่องยนต์ก็ต้องถือว่าเป็นเครื่องยนต์ที่ทำงานหนักที่สุด เพราะทำงานต่อเนื่องนานหลายสิบปีโดยไม่หยุดเลย
ตับเป็นอวัยวะที่มีความแข็งแรงมาก และจะต้องทำงานไปตลอดอายุขัยของเจ้าของ ถ้าจะกล่าวถึงหน้าที่ของตับแล้วนับว่ามากมายทีเดียว ตับเป็นทั้งอวัยวะแห่งการสร้าง ซ่อมแซม ควบคุม เก็บกัก และขับของเสียออกจากร่างกาย ซึ่งสามารถกล่าวโดยย่อดังนี้
• อวัยวะแห่งการสร้าง ตับสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย สร้างโปรตีนหลายชนิดเพื่อให้ร่างกายนำไปซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ สร้างน้ำย่อยที่เรียกว่าน้ำดีไว้ใช้ย่อยอาหารในลำไส้ แม้กระทั่งสร้างหรือสังเคราะห์ไขมันเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบสำหรับผลิตฮอร์โมนไว้หล่อเลี้ยงระบบต่างๆในร่างกายให้ทำงานเป็นปกติ เช่น ระบบประสาทอัตโนมัติ ระบบย่อยอาหาร ระบบสืบพันธุ์ เป็นต้น
• ตับช่วยซ่อมแซม เช่นเมื่อเซลล์ของตับอ่อนถูกทำลายหรือเสื่อมสภาพเนื่องจากอาการของโรคเบาหวาน ตับก็จะทำหน้าที่ช่วยพยุงให้ตับอ่อนสามารถทำงานต่อไปได้ และยังช่วยฟื้นฟูเซลล์ตับอ่อนให้กลับเป็นปกติได้ด้วย ดังนั้น ถ้าตับมีสุขภาพดีการควบคุมน้ำตาลในเลือดก็จะดีตามไปด้วยเพาะตับอ่อนมีสุขภาพดีนั่นเอง โรคเบาหวานจึงเป็นโรคที่สามารถควบคุมได้ถ้ามีตับที่แข็งแรง
• ตับช่วยควบคุม เช่นควบคุมการใช้พลังงานของร่างกาย ควบคุมการขับสารพิษให้ออกจากร่างกาย ควบคุมการนำสารอาหารที่ย่อยแล้วจากลำไส้เล็กเข้าสู่กระแสเลือดไปหล่อเลี้ยงร่างกายอย่างเหมาะสมซึ่งเป็นกลไกที่มีความสำคัญที่สุดของการมีสุขภาพดี
• ตับช่วยเก็บกัก เช่น เก็บพลังงานไว้ใช้ในยามจำเป็นเมื่อประสบภัยอย่างกระทันหันร่างกายจะมีพละกำลังมหาศาล เช่นยกตู้เย็นวิ่งหนีไฟไหม้เป็นต้น นอกจากนั้นตับยังทำหน้าที่เก็บสะสมวิตามินและเกลือแร่มากมายไว้ให้ร่างกายได้ใช้ในทุกกิจกรรม
• ตับขับของเสียออกจากร่างกาย สารอาหารที่ย่อยแล้วถ้ามีปริมาณมากเกินกว่าที่ร่างกายต้องการ ตับจะถือว่าเป็นสารพิษที่ต้องขับทิ้งออกจากร่างกาย แต่ถ้าอาหารเหล่านั้นมีปริมาณมากเกินกว่าที่ตับจะสามารถขับทิ้งได้หมดตับก็จะเฉื่อยชาและเริ่มเสื่อมสภาพ สารพิษหรืออาหารเหล่านั้นก็จะแทรกตัวเข้ากระแสเลือดเข้าสู่ร่างกาย นี่คือจุดเริ่มต้นของปัญหาสุขภาพ และนำมาซึ่งโรคภัยร้ายแรงในที่สุด เช่น เริ่มจากมีน้ำหนักตัวเกิน ไขมันในเลือดเริ่มสูง มีความดันโลหิตสูงตามมา เป็นโรคเบาหวาน โรคหัวใจ สมองขาดเลือด ต้อกระจก และโรคไตวาย ตามลำดับ และอาจมีกลุ่มอาการของโรคอื่นแทรกขึ้นมาอีกก็ได้ เช่น โรคมะเร็ง โรคตับ หรือโรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง หรือโรคภูมิแพ้ เป็นต้น ตับจึงเป็นอวัยวะที่ต้องเอาใจใส่เพราะการมีคุณภาพชีวิตที่ดีมีสุขภาพแข็งแรงนั้นต้องขึ้นอยู่กับสุขภาพของตับเป็นสำคัญ หลายคนเข้าใจผิดไปให้ความสำคัญกับสมองและหัวใจมากกว่า พยายามหาอาหารเสริมราคาแพงมาบำรุงสมอง บำรุงหัวใจ แต่ในความเป็นจริงแล้วตับเป็นอวัยวะที่หล่อเลี้ยงสมองและหัวใจ การดูแลตับให้แข็งแรงมีวิธีเดียวคือการมีโภชนาการที่สมดุลและเพียงพอ กินอาหารที่ปรุงแต่งน้อยและเป็นธรรมชาติให้มากที่สุด ตับต้องการพลังงานจากอาหารไม่มากเพราะตับสามารถสร้างพลังงานได้เอง แต่ตับต้องการเกลือแร่ วิตามิน สารจากธรรมชาติ ( Phyto-nutrients ) และโปรตีนที่มีคุณภาพสูง เพื่อให้การทำงานของตับดำเนินไปอย่างสมบูรณ์ที่สุด
เราทราบว่าโดยธรรมชาติแล้วตับเป็นอวัยวะที่มีความแข็งแรงมาก เพราะกว่าจะทราบว่าตับมีปัญหาก็ต่อเมื่อร่างกายมีอาการของโรคปรากฎขึ้นแล้วทั้งนั้น เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคเกี่ยวกับหลอดเลือด โรคหัวใจ สมองขาดเลือด โรคมะเร็งตับ เป็นต้น จึงมีความจำเป็นที่ต้องดูแลสุขภาพตับให้มั่นใจว่าแข็งแรงจริงๆ
ไต ได้ชื่อว่าเป็นอวัยวะที่รักษาความสมดุลของร่างกายที่ดีที่สุด คือขับของเสียออกจากร่างกาย ควบคุมระดับน้ำ เกลือแร่ และสารอื่น ๆ ที่มีมากเกินไปในร่างกาย ควบคุมโลหิต สร้างเม็ดโลหิตและควบคุมระดับของแคลเซียม และฟอสฟอรัสในเลือด ซึ่งมีผลต่อกระดูก ถ้าไตไม่ทำงานมีผลทำให้ร่างกายมีของเสียคั่งค้างอยู่มาก เซลล์ทำงานได้ไม่ปกติ มีน้ำ เกลือแร่ คั่งอยู่ในร่างกาย มีความดันโลหิตสูง โลหิตจาง กระดูกเปราะง่าย เป็นต้น และบางครั้งอาการเหล่านี้อาจทำให้เสียชีวิตได้ การเสียหน้าที่ของไต จากสาเหตุใดสาเหตุหนึ่ง เมื่อถึงระดับที่ไม่สามารถรักษาด้วยวิธีการประคับประคอง (Conservative treatment) เช่นการรับประทานยา การควบคุมเรื่องอาหาร ผู้ป่วยจะต้องได้รับการักษาอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่หากอยู่ในขั้นระยะสุดท้าย เช่นเป็นโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย จะต้องรักษาโดยการใช้การบำบัดรักษาทดแทนไต เช่น การฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม
การดูแลรักษาทั้งตับและไตใช้วิธีเดียวกันคือ
1. กินอาหารที่มีสารอาหารสมดุล พิสูจน์มาเกือบ 10 ปีแล้วว่าผลิตภัณฑ์อาหารธัญพืชของซีเกรนทุกผลิตภัณฑ์มีส่วนทำให้ทั้งตับและไตทำงานดีขึ้นถ้ากินอย่างสม่ำเสมอ
2. ออกกำลังกายสม่ำเสมอวันละ 30 นาทีแล้วพักผ่อนเพียงพอโดยเฉพาะการนอนหลับต้องให้หลับสนิทระหว่างสองยามถึงตีสี่เป็นอย่างน้อยเพราะเป็นเวลาทองที่ระบบในร่างกายกำลังซ่อมตับและไตให้แข็งแรง
3. อย่าเครียด เมื่อใดที่รู้สึกเครียดอารมณ์ไม่ปกติ พยายามแก้เครียดด้วยวิธีการต่างๆแล้วแต่จะทำได้ซึ่งมีหลายวิธี เช่น ออกจากเหตุการณ์ที่ทำให้เครียดไปเลย หรือเปลี่ยนบรรยากาศ ดูหนังสนุกๆ ฟังเพลง อ่านหนังสือที่ทำให้สบายใจ ทำสมาธิ ออกกำลังกาย